You are not authorized to view this resource.
You need to login.
Thailand Full Gospel Masscommunications
HOME
About us
รายการวิทยุ
บทเรียนทางไปรษณีย์
บทเรียนไอที
งานนัดพบ
ข่าวประชาสัมพันธ์
ประสบการณ์ชีวิต
คำถามคำตอบ
บทความหนุนใจ
สาระน่ารู้
ภาพหนุนใจ
มุมของแจก
วันสำคัญ
Contact Us
Contact Us (E-mail)
Advanced Search
Christian Links
รายการออกอากาศ
มุมฟังเพลง
ปฏิทินข่าว
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น-รูป

พูดอย่างไรให้เขารัก...ทำอย่างไร..ให้เขาชอบ ตอนที่ 2
พูด อย่างไร...ให้เขารัก.....ทำ  อย่างไร...ให้เขาชอบ  ตอนที่ 2

ในหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์ ได้บอกให้รู้จักควบคุมลิ้น เพราะว่าลิ้นเป็นอวัยวะเล็กๆ และเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการพูด  แต่ในขณะเดียวกันลิ้นสามารถเป็นไฟได้ เมื่อพูดในสิ่งที่เป็นความบาป            ชอบอวดอ้างเรื่องใหญ่โต  “......สัตว์ทุกชนิด ทั้งนก ทั้งสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ในทะเลนั้นทำให้เชื่องได้.......แต่ลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำให้เชื่องได้......” (จากพระคริสตธรรมคัมภีร์)  วันนี้ถ้าใครควบคุมลิ้นได้ ทุกอย่างในชีวิตก็สามารถควบคุมได้โดยอัตโนมัติ

เราจะมาดูกันว่า แล้วการพูดอย่างไรให้เขารัก ทำอย่างไรให้เขาชอบ

     1. พูดด้วยความสุภาพ

มนุษย์ทุกคนชอบคนที่พูดจาสุภาพอ่อนโยน การพูดด้วยความสุภาพหมายถึงการพูดไพเราะ พูดจามีหางเสียงลงท้าย ครับ /ค่ะ  สิ่งเหล่านี้เราสามารถฝึกได้  และจะเป็นเสน่ห์กับตัวเราเอง ผมได้ยินเด็กนักเรียนหญิงคุยกันในรถสองแถว เธอพูดจาชนิดว่าสัตว์ต่างๆมาทั้งป่า มาอยู่ที่การพูดของเธอหมด แม้แต่พ่อแม่อยู่ที่บ้านเรียกมาหมดบนรถสองแถว หมดเสน่ห์จริงๆ

รวมถึงการไม่พูดจาขัดคอคู่สนทนาและไม่พูดคำหยาบคาย อันนี้สำคัญมาก เพราะคนที่พูดจาหยาบคายนั้นมักเป็นที่รังเกียจของคนส่วนใหญ่ ดั่งคำพูดที่กล่าวว่า

“หัวใจของคนโง่อยู่ที่ปากของเขา แต่ปากของคนฉลาดอยู่ที่ใจ” แต่เด็กวัยรุ่นมักชอบพูดคุยกันด้วยคำหยาบเหมือนเป็นเรื่องปกติ บางทีเด็กวัยรุ่นผู้หญิงก็เรียกสรรพนามกันว่ากู - มึง – อี พูดคำด่าคำ ซึ่งเราสามารถเห็นได้ทั้งการพูดคุย และการเขียนบนเฟสบุ๊ค เห็นแล้วก็ตกใจ น่าตาก็ดี แหม!เป็นไปได้

2. พูดด้วยการเอาใจเขามาใส่ใจเรา 

เราต้องรู้ก่อนว่าเรากำลังพูดอยู่กับใคร เช่น เพื่อน คนในครอบครัว หรือคนทั่วไป รวมทั้งอายุ เพศ หรือ ฐานะ การศึกษา สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ที่เราต้องรู้ล่วงหน้า เพื่อความสำเร็จ และเป็นการดึงดูดในการพูดคุยของเรา นักปราชญ์จีน ได้กล่าวว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยหน”

การที่เรารูจักผู้ที่เราพูดคุยด้วยเป็นสิ่งจำเป็น จะทำให้ความตั้งใจสิ่งที่คาดหมายไว้ประสบความสำเร็จ เช่น คุยกับคนที่เรารัก เราก็ต้องรู้ว่าจะคุยถึงเรื่องอะไรที่ทำให้คนรักพึงพอใจในตัวเรา และอยากอยู่ใกล้ๆ ขอยกตัวอย่าง          การพูดคุยของพระเยซูกับหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่ง  ในสมัยนั้นชาวสะมาเรียเป็นกลุ่มคนที่คนยิวจะไม่พูดคุย หรือคบหาด้วยเพราะถือว่าเป็นมลทิน แต่พระเยซูมองข้ามค่านิยมผิดๆที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง

ในขณะที่หญิงชาวสะมาเรียมาตักน้ำในบ่อยามเที่ยงวัน ซึ่งปกติไม่มีใครมาตักน้ำที่บ่อในเวลานี้ ส่วนมากจะมาตักในช่วงเย็น แต่หญิงคนนี้เจตนามาตักน้ำในเวลาเที่ยงเพื่อหลบหน้าผู้คน เธอรู้ตัวเองว่าชนชั้นของเธอไม่ได้รับการยอมรับ แต่พระเยซูได้พูดกับเธอก่อน “ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง” พระองค์พูดในเรื่องที่ใกล้ตัว พูดในสิ่งที่หญิงคนนี้กำลังกระทำอยู่คือมาตักน้ำ และรู้ถึงจิตใจของเธอที่ล้มเหลวในชีวิตทั้งด้านครอบครัว การหย่าร้าง

   การพูดด้วยการเอาใจเขามาใส่ใจเรา เข้าใจในสิ่งที่คนกำลังแสวงหาความสนใจในชีวิตประจำวัน คนที่มีความหิวกระหายอาหารฝ่ายจิตวิญญาณ และเข้าใจในความผิดพลาดที่เธอได้กระทำ ท้ายสุดในการสนทนาทำให้หญิงชาวสะมาเรียคนนี้ได้พบกับ สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต คือการได้รับความรอดพ้นจากความบาปผิดในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพราะพระเยซูได้ให้น้ำธำรงชีวิตที่เธอจะไม่หิวกระหาย แต่จะเป็นเหมือนน้ำพุที่พลุ่งอยู่ในจิตใจของเธอ  ไม่เพียงเธอคนเดียวเท่านั้น แต่กับคนทั้งหมู่บ้านที่ได้เข้ามาฟังสิ่งที่พระเยซูได้พูดถึงข่าวดี และเปิดใจต้อนรับพระเยซูเข้ามาในจิตใจของคนในหมู่บ้านนั้นทั้งหมด

พระเยซู รู้ว่าจะพูดอย่างไร เพื่อคนเหล่านั้นจะเกิดความสนใจในเนื้อหาที่พูด และเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟังที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังในข่าวดีเรื่องความรอดพ้นจากความบาปผิด

3. พูดด้วยการ ยกย่อง ชมเชยผู้อื่น

อาจเป็นสิ่งที่ยากสำหรับบางคนที่จะยกย่อง ชมเชย คนที่เราสนทนา หรือคนที่อยู่ใกล้ตัวเรา แต่เมื่อเราได้ฝึกในการยกย่องคนอื่น ให้เกียรติเขา สุดท้ายเราก็จะได้รับเกียรติเช่นกัน ขอยกตัวอย่าง เพื่อนสมัยเรียนในชั้นมัธยม ทุกวันนี้หลายคนได้เติบโตในหน้าที่การงาน ไม่ว่าจะเป็นในแวดวงข้าราชการ นักธุรกิจ ค้าขาย พอมาพบเจอกันในไลน์  (line) หลายคนจะคุยถึงความสำเร็จของตนเองกันทั้งนั้น “ปีนี้ฉันจ่ายภาษีไปล้านกว่าบาท”  “สองอาทิตย์ก่อนพาครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศ” เรียกว่าคุยทับกันอย่างสนุกสนาน    ทั้งยังโพสต์ภาพมาให้ดูต่างหาก แต่หารู้ไม่ว่า อาจทำให้บางคนไม่ต้องการจะสนทนากับสังคมแบบนี้ก็ได้  ทำให้เราต้องเสียเพื่อนดี ๆ ไปเพราะการคุยถึงแต่ความสำเร็จของตนเองหรือยกตนข่มท่าน

การที่จะพูดอย่างไรให้เขารักทำอย่างไรให้คนชอบ ต้องรู้จักพูดยกย่อง ชมเชยผู้ที่เรากำลังพูดคุยกับเขาด้วยความจริงใจ การเป็นคนที่มีความถ่อมใจ และยกย่องคนอื่น จะทำให้การพูดคุยของเราในครั้งนั้นสามารถสร้างความประทับใจกับผู้ที่สนทนาด้วยอย่างแน่นอน

ครั้งหนึ่งอาจารย์เปาโล ได้เดินทางเข้าไปในกรุงเอเธนส์ ในเวลานั้นเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีชื่อเสียงด้านศาสนาปรัชญา มีมหาวิทยาลัยชั้นนำและรูปปั้นต่างๆ มากมายรวมทั้งคำสอนความเชื่อแปลกๆ  ทำให้อาจารย์เปาโลไม่พอใจอย่างมากต่อสิ่งที่ท่านเห็น ซึ่งปกติท่านจะเทศนาหรือพูดต่อว่าอย่างรุนแรง แต่ท่านเลือกใช้วิธีการพูดด้วยการยกย่องชมเชย ในการแสวงหาความหมายของชีวิตของคนในเมืองนั้น โดยพูดว่า

 “..........ท่านทั้งหลายที่เป็นชาวเอเธนส์ ข้าพเจ้าเห็นว่าพวกท่านเป็นคนที่เคร่งครัดศาสนาในทุกด้าน เพราะว่าข้าพเจ้าเดินไปรอบๆเมืองและสังเกตดูสิ่งที่ท่านนมัสการนั้น ข้าพเจ้าพบแท่นหนึ่ง มีคำจารึกว่า แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาประกาศให้พวกท่านรู้ถึงพระเจ้าองค์ที่ท่านไม่รู้จัก แต่ยังนมัสการอยู่ (จากพระคริสตธรรมคัมภีร์) 

การให้เกียรติผู้ที่เราพูดคุยด้วย โดยเราเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน จะทำให้คู่สนทนาของเรายอมรับสิ่งที่จะนำเสนอ และแสดงถึงการที่เราเป็นคนที่มีจิตใจที่พัฒนาหรือขั้นสูง เพราะโดยธรรมชาติมนุษย์ทุกคนต้องการได้รับการยกย่อง ชมเชย 

คาร์เนกี้ ได้พูดถึงขั้นตอนของความสำเร็จในการพูดไว้น่าสนใจมาก จึงนำมาให้ดูกัน

   1. จงเอาใจใส่ผู้อื่น

   2. หัดเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส

   3. พยายามจำชื่อของคนให้ได้

   4. จงเป็นนักฟังที่ดี

   5. จงสนับสนุนให้คู่สนทนาคุยเรื่องของเขา

   6. พูดในเรื่องที่คนอื่นสนใจ

   7. จงทำให้คู่สนทนาเป็นบุคคลสำคัญ

   8. จงเคารพความคิดเห็นของคนอื่น

   9. อย่าพูดถึงความผิดของเขาตรงๆ

   10. จงให้เกียรติแก่คู่สนทนา

   11. จงยอมรับผิดทันที ที่ท่านรู้ว่าผิด

12. จงขอร้องแทนการสั่งหรือบังคับ

 

4. พูดแล้วต้องฟังคนอื่นด้วย

 การพูดและการฟังมีความสัมพันธ์กัน เพราะการฟังเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการพูด อาจารย์ทินวัฒน์       มฤคพิทักษ์ เขียนไว้ตอนหนึ่งในหนังสือ “พูดได้ พูดเป็น” ว่าการเป็นนักพูดที่ดีต้องมี 5 ประการ คือ

   1. เป็นนักฟังที่ดี

   2. ยอมรับฟังคำวิจารณ์

   3. เป็นตัวของตัวเอง

   4. ศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ

   5. มีความสุขในการถ่ายทอดความรู้ให้ผู้อื่น

ดังนั้น นักพูดที่ดีนั้นต้องเป็นนักฟังที่ดีด้วย “คนดีนั้นต้องพูดแต่ดี ไม่ใช่ดีแต่พูด”

  การที่เรารู้จักฟังคนอื่น เป็นมารยาทที่ดีในการพูดคุยกัน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออก ด้วยการยิ้ม การพยักหน้า ในระหว่างที่ฟัง จะยิ่งเป็นการสร้างความเข้าใจ และมีความสนุกสนานในการพูดคุยกัน อดีตประธานาธิบดี         ลินคอร์น ของสหรัฐอเมริกาเคยกล่าวไว้ว่า “ในบรรดาคุณสมบัติที่หายากในโลกใบนี้ คุณสมบัติในการเป็นนักฟังที่ดีนี่แหละหายากที่สุด”

 

หลักในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ที่สามารถนำมาประยุกต์ในการพูด ได้กล่าวไว้ดังนี้

  - เห็นอกเห็นใจ เอาใจเขามาใส่ใจเรา

   - รับฟังความเห็นของผู้อื่o

   - มีจิตใจพร้อมบริการผู้อื่น

   - ยอมรับนับถือในเกียรติของผู้อื่น

   - มีอารมณ์หนักแน่น มั่นคง

5. พูดด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง


“ถ้อยคำแช่มชื่นเป็นเหมือนรวงผึ้ง เป็นความหวานแก่วิญญาณจิต และเป็นพลานามัยแก่ร่างกาย” (จากพระคริสตธรรมคัมภีร์)

หลายคนที่เคยมีประสบการณ์ ในการโทรศัพท์ไปติดต่อกับหน่วยงานหรือบริษัท  ทันทีที่รับสาย แทบไม่อยากจะพูดคุยอีกเลย ทำอย่างกับแก๊งทวงหนี้นอกระบบ  น้ำเสียงที่พูดคุย  แข็งกระด้าง ไม่สุภาพ

การพูดคุยให้คนรักคนชอบ การพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ นุ่มนวล แสดงหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้หลายคนเคลิ้ม จนยอมออกมานัดเจอ ทานข้าวนอกบ้านกับคนแบบนี้หลายรายแล้ว แต่สิ่งสำคัญการพูดจาด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง ควรเต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่ออกมาจากอารมณ์ที่แท้จริง ยิ่งทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกประทับใจ “คำพูด ภาษา น้ำเสียง วาทศิลป์”  เป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจ และชนะใจคนได้

   ครั้งหนึ่งผมได้เข้าในร้านถ่ายรูป เมื่อเดินเข้าไปจะมีคนยืนต้อนรับ และพนักงานทุกคนจะพูดพร้อมกัน ไม่ว่าจะยืนอยู่มุมไหนของที่ร้าน “สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับค่ะ” พอเดินออกจากร้านทุกคนก็พูดพร้อมกันด้วยเสียงดัง “ขอบคุณ รูปสวยค่ะ” ผมรู้สึกประทับใจมาก ในการพูดต้อนรับด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง ทำให้เป็นขาประจำร้านถ่ายรูปนี้มาโดยตลอด

6. การพูดด้วยการสร้างอารมณ์ขัน

“ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี...”(จากพระคริสตธรรมคัมภีร์)

การพูดเพื่อสร้างอารมณ์ขัน เป็นการพูดที่มุ่งให้ผู้ฟังเกิดความเพลิดเพลิน รื่นเริง สนุกสนาน ผ่อนคลายความตึงเครียด ทำให้คนฟังไม่เบื่อที่จะฟัง แต่อย่าลืมที่จะแทรกเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟังด้วย  การเป็นคนที่พูดแล้วมีอารมณ์ขัน  รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสุข  เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของการพูด อาจทำให้คนที่ไม่ค่อยชอบหน้า มีท่าทีเป็นมิตรกับผู้พูดมากขึ้นก็ได้

เพราะทุกวันนี้สังคมมีความเครียด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในครอบครัว การตบตี หย่าร้าง  ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งความคิดต่างทางการเมือง และทำให้บรรยากาศการพูดคุยที่สามารถสร้างอารมณ์ขันเข้ามาได้ ย่อมทำให้คนที่ไม่รู้จักกันเป็นมิตรกันมากขึ้น และความตึงเครียดกลายเป็นผ่อนคลายได้ เช่น เวลาที่เรากำลังพูดคุยกับแฟน และบรรยากาศเริ่มไม่ดีกำลังนำไปสู่การทะเลาะ ให้เราเปลี่ยนเรื่องคุย เป็นการพูดตลกแทรกเข้ามาบ้าง อุณหภูมิในเวลานั้นจะเริ่มเย็นลงทันที  แต่ที่สำคัญเรื่องขำขันนั้น ต้องไม่ใช่เป็นเรื่องหยาบโลน หรือตลกจนไม่ให้เกียรติผู้ที่สนทนากับเรา เพราะนั่นอาจทำให้การพูดเป็นการสร้างศัตรูก็ได้น่ะ

ผู้พูดสามารถสร้างเรื่องขำขันได้ โดยไม่ต้องอาศัยพรสวรรค์ อยู่ที่การฝึกฝนและแสวงหาจนเกิดการพัฒนา  สามารถสร้างเรื่องขำขันด้วยตนเอง ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ ได้เขียนไว้ในหนังสือ พูดได้ พูดเป็น ในหัวข้อ วิธีสร้างอารมณ์ขันดังนี้

1. อ่านหนังสือประเภทขำขัน

2. สังเกตวิธีการวิพากษ์วิจารณ์ของนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ที่มีอารมณ์ขัน

3. มองโลกในแง่ดี มองเรื่องร้ายในมุมกลับดูบ้าง

4. จดจำวิธีการพูดของนักพูดที่มีอารมณ์ขัน

5.ฝึกสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้อื่น โดยพยายามหาตัวอย่างแปลกๆ ขำๆ มาเล่าสู่กันฟัง 

ตัวอย่าง เรื่องขำขัน ............

แม่เป็นห่วงลูกชาย นางถามลูกชายว่า “ลูกชอบเที่ยวผับเที่ยวเทคมั้ย” ?  ลูกชายที่เป็นเด็กหนุ่ม ตอบแม่ว่า “ไม่ชอบครับ”

“ลูกชอบดื่มเหล้าและเที่ยวอาบอบนวดเปล่า” ? “ไม่ชอบครับ”

“ลูกชอบเงินไหม” ? แม่ถามอีก  ลูกชายส่ายหัวตอบว่า “ไม่ชอบครับ”

“ลูกแม่ทำมั้ยเป็นคนดีอะไรอย่างนี้” นางกล่าวชมเชยและถามต่อไปว่า “แล้วลูกชอบอะไรล่ะ”?

ลูกชายตอบอย่างชัดเจนว่า “ผมชอบโกหกครับ”

          6.ทดลองแทรกคำพูดให้อารมณ์ขำลงไปเมื่อมีโอกาสพูด ถ้าผู้ฟังไม่ขำ ให้สำรวจว่าจังหวะและวิธีการเล่าอาจผิดพลาด และพยายามปรับปรุงการพูดในโอกาสต่อไป

            7.พยายามสร้างจิตใจให้เป็นกันเองกับผู้ฟัง

ชีวิตของคนเรามีทั้งการร้องไห้ และหัวเราะ แต่คนส่วนมากชอบที่จะอยู่กับความสุขและเสียงหัวเราะมากกว่า แม้แต่พระเจ้าก็ปรารถนาให้เราเป็นคนที่เต็มไปด้วยความสุขในทุกๆวัน  เพราะการหัวเราะเป็นการที่ทำให้เราไม่วิตกกังวลกับเรื่องราวที่พบเจอ เพราะเรามั่นใจว่า พระเยซูทรงอยู่เคียงข้างและพร้อมที่จะเช็ดน้ำตาทุกหยด และพระองค์รู้จักสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราแต่ละคนดี พระองค์พร้อมที่จะช่วย และให้ความสุขที่แท้จริง และไม่มีวันหมดเหมือนน้ำพุที่พุ่งอยู่ในใจตลอดเวลา แล้วเราจะมานั่งเศร้าใจอยู่ทำไม “...........พระเจ้าทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขาทั้งหลาย” (จากพระคริสตธรรมคัมภีร์)


 

 

Next>
ข่าวประชาสัมพันธ์
งานนัดพบ
ประสบการณ์ชีวิต
คำถามคำตอบ
วิทยุออนไลน์
ผังรายการสถานีวิทยุ
Polls
Who's Online
We have 1 guest online
บทเรียนไอที-รูป
ติดต่อขอรับหนังสือฟรีที่นี่ -รูป
มุมของแจก
แต่งต้นคริสต์มาส
อากาศวันนี้
ราคาน้ำมัน
แผนที่
thangchiwit-map
 
สื่อมวลชนทางชีวิต (The way of life) 3131/55-58 ถนนสุขุมวิท ซอย 101/2 บางนา กรุงเทพฯ 10260
โทรศัพท์ 0-2361-1182, 0-2398-8331 โทรสาร 0-2398-8327