สร้างครอบครัวอย่างไรจึงจะเข้มแข็ง มีความสุข บ้านน่าอยู่ ? |
|
|
|
|
ตอบ ครอบครัวเป็นสถาบันหลักที่สำคัญของสังคม และมนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่มีครอบครัวของตนเอง ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เพราะครอบครัวเริ่มต้นพร้อมๆ กับการเริ่มต้นของมนุษย์ชาติ เมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลก พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ให้ปกครองดูแลโลก และพระเจ้าทรงเห็นว่าผู้ชายคนแรกอยู่คนเดียวไม่ดี พระองค์จึงทรงประทานและสถาปนาครอบครัวให้กับเขา เพื่อเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างมนุษย์ที่มีพระฉายของพระเจ้า มีความสุขและมีคุณค่า ครอบครัวคือที่ๆ ให้กำเนิดของมนุษย์ให้การเติบโต และเรียนรู้ชีวิต ถ้าพระเจ้าไม่สถาปนาชีวิตครอบครัวในโลกนี้ ก็จะมีเพียงมนุษย์คนแรกที่พระเจ้าสร้างคืออาดัมและคงจะไม่มีการเกิด แต่เมื่อพระเจ้าทรงสถาปนาให้มีครอบครัวเป็นที่ๆ ให้การเลี้ยงดู ให้ความเจริญเติบโต ให้ความรัก ให้การเรียนรู้ชีวิตและการศึกษา ดังนั้นเราจึงกล้าพูดว่า |
|
|
|
|
|
Write Comment (0 comments)
|
|
จะทำอย่างไรเมื่อต้องสูญเสียสิ่งของหรือคนที่รักไป ? |
|
|
|
ตอบ วัยสาว วัยชรา หรือแม้แต่เด็กๆ ก็มีความรู้สึกเสียใจด้วยกันทั้งนั้น อาจจะเป็นเพราะผู้อื่นทำให้เสียใจหรืออาจจะเกิดจากตัวเราเองก็ได้ บางคนน่าชมเชยจริง ๆ เมื่อเกิดความโศกเศร้าเสียใจชีวิตผิดหวังล้มเหลว เขาไม่ยอมปล่อยตัวปล่อยใจให้ล้มเหลวลงไปอีก แต่เขาพยายามสู้...สู้กับชีวิตและปัญหาต่างๆ จนชีวิตของเขาดีขึ้น และดีมากกว่าเดิมเสียอีก แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เสียอกเสียใจแล้วทำตัวเหลวไหล เสียหาย ปล่อยตัวปล่อยใจให้จมดิ่งลงสู่ความทุกข์ระทม ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานมากขึ้น ไม่ยอมทำใจให้เข้มแข็งเพื่อที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ได้อย่างมีสติที่มั่นคง เราคงเคยเห็นคนประเภทนี้ตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ทางทีวีบ่อย ๆ เช่น ผู้หญิงหรือผู้ชายบางคนเสียใจที่คนรักเอาใจออกห่างก็ประชดชีวิตโดยการฆ่าตัวตาย เด็กวัยรุ่นที่พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก ก็หันไปคบเพื่อนวัยเดียวกันเกิดไปเจอเพื่อนนิสัยไม่ดี ก็เลยไปกันใหญ่ จริง ๆ แล้วก็น่าเห็นใจมาก เพราะการที่เขาเสียใจนั้นส่วนใหญ่สืบเนื่องมาจากที่เขาต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่าง แต่เราจะมาโทษนั่นโทษนี่กันทำไม การที่ประชดความเสียใจด้วยการสูญเสียอีกจะมีประโยชน์อะไร บางคนเสียใจไปแล้วก็ยังมัวเสียเวลาครุ่นคิดคร่ำครวญอยู่กับเรื่องไร้สาระจนกลายเป็นโรคปราสาท เสียบุคลิกภาพไปอีก บางคนเสียเงินเสียทองเสียชื่อเสียง พร้อมชีวิตเป็นทาสของยาเสพติด ทำให้สูญเสียหนักขึ้นไปอีก ยิ่งกว่านั้นเสียใจแล้วยอมเสียชีวิตก็ยังมี ที่กล่าวมาแล้วล้วนมีแต่เสียกับเสีย ไม่เกิดผลดีอะไรยังผิดศิลธรรมอีกด้วย ในพระคัมภีร์ซึ่งเป็นพระวจนะของพระเจ้าสอนในเรื่องนี้ว่า “เพราะความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้าย่อมนำไปถึงความรอดและไม่เป็นที่น่าเสียใจอีก แต่ความเสียใจอย่างคนที่ขาดความยั้งคิดนั้นย่อมนำไปถึงความตาย” อาจจะมีบางคนถามว่า “เสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้านั้นเป็นอย่างไร” ความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้านั้นไม่มีการทำลายแอบแฝงอยู่ แต่กลับนำเอาความเสียใจนั้นมาเป็นบทเรียนราคาแพง และเริ่มสำนึกในความผิดพลาด หันกลับจากทางที่เคยผิดพลาด ขวนขวายที่จะแก้ตัวใหม่ เราอาจสูญเสีย เสียใจ เราจะไม่ยอมสูญเสียอีกต่อไป แต่เราจะรีบฉวยโอกาส ฉวยสิ่งที่ดีมาทดแทนความสูญเสียนั้น และเราจะไม่ประชดชีวิต เราจะไม่ทำลายชีวิตอีกต่อไป นี่แหละคือความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า และจะนำเราไปสู่ความมีชัยรอดพ้นจากการตกเป็นเหยื่อของความตาย -จบ- |
|
|
|
|
|
lozo Write Comment (0 comments)
|
|
เหตุใด...พระเยซูจึงรักเด็ก ๆ ทุกคน ? |
|
|
|
|
ตอบ ในเวลานั้นเหล่าสาวกมาเฝ้าพระเยซูทูลว่า ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ พระเยซูจึงเรียกเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งมาให้ยื่นท่ามกลางเขา แล้วตรัสว่า "ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเหมือนเด็ก ๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลยเหตุฉะนันถ้าผู้ใด ถ่อมจิตใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็ก เช่นี้ คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเราด้วย แต่ผู้ใดจะทำผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่วางใจในเราให้หลงผิด ถ้าเอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงเสียที่ทะเลลึก็ดีกว่า" มีเด็กจำนวนมากถูกผู้ใหญ่ใช้เป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์อย่างไม่ชอบธรรม อย่างเช่นการหากินกับเด็ก โสเภณีเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย การใช้แรงงานเด็ก นำเด็กไปขอทาน หรือการให้เด็กติดยาเสพติดแล้วใช้ให้ไปลักขโมย เป็นต้น มีเด็กอีกส่วนหนึ่งที่อยู่กับพ่อแม่ มีบ้านมีอาหาร มีเสื้อผ้า แต่ขาดความรักการเอาใจใส่จากผู้ใหญ่ มักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเด็ก ๆ กลายเป็นผู้รองรับอารมณ์ร้าย ๆ ของผู้ใหญ่ถูกด่าว่า ข่มขู่ หรือแม้กระทั้งถูกตบตีอย่างรุนแรงเกินกว่าเหตุ ผู้ใหญ่มักไม่ใส่ใจว่าเมื่อเขาทำร้ายเด็กแล้ว เด็กจะรู้สึกอย่างไร ? เจ็บปวดแค่ไหน ? เขาไม่สนใจเพราะเด็ก ๆ ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้มากนัก แต่ใช่ว่าเด็กจะไม่มีความรู้สึกอย่างที่ผู้ใหญ่บางคนคิด แม้เด็กบางคนไม่กล้าแสดงความรู้สึกออกมา แต่เขาจะจำใส่ใจไปอีกนานทีเดียว พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์มีท่าทีต่อเด็ก ๆ อย่างไร เราสามารถพบคำตอบได้จากพระราชกิจ และคำสอนของพระเยซูคริสต์ดังที่ได้บันทึกไว้ในพระธรรมมัทธิว บทที่ 18 "ในเวลานั้นเหล่าสาวกมาเฝ้าพระเยซูทูลว่า ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ พระเยซูจึงเรียกเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งมาให้ยืนท่ามกลางเขา แล้วตรัสว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็ก ๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใด ถ่อมใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็ก เช่นนี้ คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเราด้วย แต่ผู้ใดจะทำผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่วางใจในเราให้หลงผิด ถ้าเอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงเสียที่ทะเลลึกก็ดีกว่า" ประการแรก พระเยซูรักเด็กเล็ก โดยใช้เด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งเป็นตัวอย่างอธิบายเรื่องใหญ่ การมีสิทธิ์ได้เข้าสวรรค์เป็นเรื่องใหญ่ และใครจะเป็นใหญ่ในสวรรค์ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก พระเยซูทรงเรียกเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งมายืนท่ามกลางพวกเขาและสอนว่าต้องกลับใจใหม่เหมือนเด็กเล็ก ๆ จึงจะเข้าสวรรค์ได้ ต้องถ่อมใจลงเหมือนเด็กเล็ก ๆ จึงเป็นใหญ่ในสวรรค์ได้ เด็กเล็ก ๆ มีความรู้น้อย มีประสบการณ์ชีวิตน้อย มีความสามารถน้อย ต้องพึ่งพาอาศัยผู้ใหญ่โดยเฉพาะคนที่เป็นพ่อแม่ ลุงป้า น้าอา หรือญาติพี่น้อง ทำให้เด็ก ๆ ให้ความวางใจแก่บุคคลเหล่านี้ พระเยซูเรียกร้องให้เรากลับใจใหม่ หันหลังให้ความบาป รู้จักไว้วางใจในพระเจ้ารู้จักพึ่งพาพระเจ้าด้วยสุดใจเหมือนเด็กเล็ก ๆ ธรรมชาติของมนุษย์คือโอ้อวด มีความหยิ่งในตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรู้ ผลงาน ทรัพย์สมบัติหรือความดีเพื่อจะให้อยู่เหนือผู้อื่น แต่ในแผ่นดินสวรรค์ วิธีการดังกล่าวใช้ไม่ได้ผลเพราะ พระเจ้าเป็นปฏิปักษ์กับคนเหล่านั้น ที่ถือตัวจองหอง แต่ทรงสำแดงพระคุณแก่คนที่อ่อนน้อมถ่อมตน เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงยกท่านขึ้นในเวลาอันควร (1ปต.5:5-6) ประการที่สอง พระเยซูทรงรักเด็กเล็ก ๆ เพราะพระองค์ทรงสอนว่า "ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กเช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเราด้วย" พระเยซูให้ความสำคัญกับเด็กเล็ก ๆ โดยนำพระองค์เองเข้าผูกพันกับเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพวกเขา และปกป้องเขาถ้าผู้ใดรับเด็กเล็กเช่นนี้ครนหนึ่งก็เหมือนกับได้รับพระองค์ด้วย" แต่ถ้าทำร้ายเด็กเล็กเช่นนี้ให้หลงผิดด้วยว่า เขายังไร้เดียงสา หรืออ่อนแอ พระองค์ทรงคาดโทษผู้นั้นไว้อย่างรุนแรงทีเดียว ประการสุดท้าย พระเยซูทรงรักเด็กเล็ก ๆ โดยทรงเตือนให้เรารู้ว่า ทูตสวรรค์ของพระองค์เฝ้าดูเด็กเล็ก ๆ อยู่ "จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง ด้วยเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ทูตสวรรค์ประจำของเขาเฝ้าอยู่เสมอ ต่อพระพักตร์พระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ (มัทธิว 18:10)" เด็ก ๆ มักจะถูกทำร้ายในที่ลับตาคน สำหรับพระเจ้าที่ลับตาก็เป็นที่แจ้ง กลางคืนก็สว่างอย่างกลางวัน พระองค์ทรงเห็นทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่าง ทูตสวรรค์ของพระองค์กำลังเฝ้าดูเด็กเล็ก ๆ อยู่ ทุกคนจึงควรระวังตัวปฏิบัติต่อเด็กเล็ก ๆ ตามสมควรด้วยความเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อสังคมของเรารักเด็กเล็ก ๆ และให้ความสำคัญกับเด็กเล็ก ๆ ดังที่พระเยซูทรงสอนและปฏิบัติเป็นแบบอย่าง เด็ก ๆ ในสังคมของเราจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรักและรู้จักให้ความรักต่อผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างผู้ที่อ่อนแอกว่า การเบียดเบียนซึ่งกันและกันในสังคมก็จะลดลง และแน่นอนปัญหาอาชญากรรมต่าง ๆ ก็จะลดน้อยลงด้วย นำมาซึ่งความสงบสุขและความมั่นคงที่จะเกิดขึ้นในสังคมของเรา -จบ- |
|
|
|
|
|
Write Comment (0 comments)
|
|
ใครสร้างฉันมา และมีเป้าหมายอะไร ? |
|
|
|
|
ตอบ อยากบินได้เหมือนนก ก็คิดสร้างเครื่องบิน อยากว่ายใต้น้ำ ก็สร้างเรือดำน้ำ อยากวิ่งเร็วเหมือนม้า ก็สร้างรถยนต์ ถ้าเราได้มีโอกาสยืนที่ตึกสูง ๆ ในใจกลางเมืองใหญ่ ๆ และมองไปรอบ ๆ เมือง เราจะเห็นมนุษย์ มีความสามารถในการสร้างตึกรามบ้านช่อง (ดูเหมือนมนุษย์ยิ่งใหญ่จริง ๆ) มนุษย์สร้างสิ่งต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ทีวี คอมพิวเตอร์ และอื่น ฯลฯ แต่จะมีสักกี่คนที่ถามตัวเองว่า ใครสร้างฉัน และสร้างฉันมาทำไม มีเป้าหมายอะไร ? คุณทราบไหมว่า คำตอบคืออะไร ? ผู้ทรงสร้างในมนุษย์ได้มีเป้าหมายในการสร้าง ดัง พระวจนะคำของพระเจ้าใน มีคาห์ บทที่ 6 ข้อ 8 "มนุษย์เอ๋ย พระเจ้าทรงสำแดงแก่เจ้าแล้วว่าอะไรดี และพระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรจากเจ้า" 1. ให้กระทำความยุติธรรม / ทำในส่งที่ถูกต้องต่อผู้อื่น 2. รักสัจกรุณา / มีความรักความเมตตาต่อผู้อื่น 3. และดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจและมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางในการดำเนินชีวิต เครื่องบินมีปัญหายังต้องส่งซ่อมบริษัทผลิต ถ้ามนุษย์มีปัญหาจิตใจ โปรดกลับมาหาพระเจ้าเถอะ พระเจ้าตรัสว่า "จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน และพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้" -จบ- |
|
|
|
|
|
Write Comment (0 comments)
|
|
ทำไมพระเจ้าจึงเลื้ยงนกน้อยใหญ่? |
|
|
|
|
ตอบ ทำไมพระเจ้าจึงเลื้ยงนกน้อยใหญ่? ตอบ.. 08 "ฉันมีความสุขในพระพรที่มีมาแต่ละวัน แต่พี่นะสิ กลับหวาดกลัวว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นจนไม่มีความสุขเลย ฉันว่านี่แหละโง่กว่า" ในฤดูใบไม้ร่วง เป็นเวลาที่อากาศเริ่มหนาวเย็น ธรรมชาติรอบข้างกำลังมีแต่นกโรบิ้นหน้าอกสีแดงเท่านั้นที่ เกาะอยู่บนกิ่งฮอลลี่ และส่งเสียงร้องเพลงเจื้อยแจ้ว ทำให้เต่ายื่นหน้าออกมาจากกระดองอย่างสุดแสนจะรำคาญ “เฮ้อ อากาศหนาวออกอย่างนี้ อาหารก็เกือบจะไม่พอกินอยู่แล้ว ยังจะมาแกล้งร้องเพลงอยู่ได้” นกโรบิ้นตอบว่า “ฉันไม่ได้แกล้งร้องเพลงนะลุงเต่าแต่ฉันมีความสุขจริง ๆ ถึงอาหารจะมีน้อย ก็ยังพอมีไม่ใช่เหรอ” “เออน่า รอให้หนาวกว่านี้อีกหน่อยเถอะ แล้วเจ้าจะรู้สึก” เต่าสะบัดเสียงตอบ “ที่นี้หละเจ้าจะร้องเพลงไม่ออก เพราะ อาหารมีไม่พอ แล้วเจ้าก็จะต้องอดตาย” “แหม ลุง ถ้าจะให้ฉันคิดว่าจะต้องอดตายโดยที่ยังไม่รู้แน่ ฉันขอคิดว่าฉันจะมีอาหารพอกิน แล้วฉันก็จะไม่อดตายดีกว่า” ว่าแล้วเจ้าโรบิ้นน้อยก็บินจากไปพร้อมด้วยเสียงเพลงแห่งความสุข ทิ้งให้เต่าหงุดหงิดรำคาญใจอยู่แต่เพียงลำพัง ในขณะนั้นหิมะตกแล้ว ในสวนมีน้ำค้างแข็งและลมเย็นเยือก นกโรบิ้นสังเกตว่า ไม่มีนกตัวไหนร้องเพลงอีกแล้วมันถามนักรุ่นพี่ตัวหนึ่ง และได้รับคำตอบว่า “เจ้าโรบิ้น เจ้าน่ะช่างโง่จริง ๆ ที่มัวร้องเพลงอยู่ได้ ใคร ๆ เขามีแต่จะต้องทุกข์ร้อนทั้งนั้นแหละ ว่าพรุ่งนี้จะเอาอะไรกินกัน” โรบิ้นแย้งว่า “ฉันมีความสุขในพระพรที่มีมาแต่ละวัน” แต่พี่น่ะสิ กลับหวาดกลัวว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นจนไม่มีความสุขเลย ฉันว่านี่แหละโง่กว่า...” ในเวลาต่อมา กลางวันเริ่มสั้นลง ความหนาวเย็นรุนแรงยิ่งขึ้น นกอีกตัวหนึ่งปรับทุกข์กับโรบิ้นว่า “ฉันคิดว่าฉันคงจะตายในฤดูนี้แน่ เพราะไม่มีอาหารกิน...อันที่จริง ฉันก็เกือบจะตายมาหลายครั้งแล้ว แต่บังเอิญมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นทุกครั้ง ทำให้ ฉันรอดตายมาได้” โรบิ้นกล่าวแย้งว่า “ก็ถ้าเป็นอย่างนั้น sunทำไมพี่จึงไม่เชื่อล่ะว่าเหตุการณ์บังเอิญที่ไม่คาดฝัน ที่เกิดขึ้นกับพี่แล้ว จะเกิดขึ้นได้อีก จงเชื่อว่าจะมีสิ่งดีในแต่ละวัน และมีความสุขเถอะ อย่ามีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวเลย” เมื่อนกรุ่นพี่ได้รับกำลังใจมันจึงบินจากไปพร้อมด้วยเสียงเพลง นกโรบิ้นหน้าอกแดงยังคงร้องเพลงต่อไป มันบินผ่านโพรงที่เต่าใช้จำศีล ในครั้งนี้เต่าไม่ได้อารมณ์เสียอย่างเคย แต่กลับรู้สึกสดชื่นขึ้นที่เห็นสีสันของนกโรบิ้นหน้าอกแดง มันกำชับเจ้าโรบิ้นว่า “โรบิ้น ถ้าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ในฤดูใบไม้ผลิละก็ อย่าลืมบินมาร้องเพลงปลุกฉันด้วยนะ ” แล้วเต่าก็ผลุบหายเข้าไปในโพรง หลังจากนั้น ลมได้กรรโชกอย่างแรง พัดใบไม้มาปิดปากโพรงนั้น อากาศในยามค่ำคืนหนาวจับใจ เช้าวันรุ่งขึ้น พายุหิมะพัดกระหน่ำสวนจนกลายเป็นสีขาวโพลน อาหารขาดแคลนมากขึ้น นกโรบิ้นและนกอื่น ๆ พากันกระโดดกินลูกแบรี่ที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง แม้ว่าจะยังไม่อิ่มท้อง มันก็รู้สึกชื่นชมที่มีอาหารกิน มันจึงส่งเสียงร้องเพลงเจื้อยแจ้ว หัวใจเต็มไปด้วยความรู้สึก ขอบคุณ homeในเทศกาลคริสต์มาส ผู้คนตัดกิ่งฮอลลี่ไปประดับบ้านเพื่อเฉลิมฉลองวันประสูติของพระกุมารเยซู ลูกแบรี่ยังคงเหลือหล่นอยู่ตามพื้นบ้าง เจ้าโรบิ้นหน้าอกสีแดงยังคำจำคำพูดของนกรุ่นพี่ที่ว่าเหตุบังเอิญไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ ฉะนั้น แม้ว่ามันจะยังคงหิวโซ มันก็บินขึ้นไปเกาะบนกิ่งไม้หน้ากระท่อมและเริ่มร้องเพลงด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมและขอบคุณ ชายชราคนหนึ่งกำลังเดินกลับบ้าน เขารู้สึกหงอยเหงาเพราะไม่มีใครร่วมฉลองคริสต์มาสด้วย แต่ในทันใดนั้น เสียงเพลงไพเราะทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้น “อา...เจ้าโรบิ้นหน้าอกสีแดงนั้นเอง เจ้ากำลังร้องเพลงให้ฉันฟังใช่ไม๊นี่” เขาลืมความทุกข์ของตัวเองจนหมดสิ้น และปราดเข้าไปในบ้าน หยิบอาหารออกมาเลี้ยงนก ทั้งเศษขนมปังถั่วและหมูเบคอน นกโรบิ้นกินจนอิ่มด้วยความเอร็ดอร่อย หัวใจของมันพองโตด้วยความปิติยินดี เจ้าโรบิ้นยังคงร้องเพลงให้ชายชราฟังทุกวันจนตลอดฤดูหนาวนั้น และเขาก็เลี้ยงมันไว้เป็นเพื่อน ฤดูใบไม้ผลิย่างกรายมาอีกครั้ง เมื่อหิมะละลาย และดอกไม้เริ่มเบ่งบาน นักโรบิ้นจึงบินไปส่งเสียงร้องปลุกเจ้าเต่าให้ตื่นจากหลับ เต่าโผล่หน้าออกมาอย่างงัวเงีย และรู้สึกประหลาดใจ “ฮือ เจ้าโรบิ้น เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกหรือนี่” “เจ้าโรบิ้นตอบด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “ใช่แล้ว ลุงเต่า ฉันยังมีชีวิตอยู่ เพราะว่ามีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในชีวิตของเราเสมอเลยหละ” มันอดเสียมิได้ที่จะส่งเสียงร้องเพลงสรรเสริญและขอบคุณสวรรค์ ที่ให้สิ่งดีที่เกิดขึ้นอยู่เสมอและไม่เคยผิดพลาด หัวใจดวงน้อยภายใต้หน้าอกสีแดงของมัน มีความกล้าหาญและยังคงเต็มไปด้วยคำขอบคุณอยู่เสมอ 110 น้อง ๆ คะ ในคราวที่เรามีทุกข์ เราคงเต็มไปด้วยความเศร้าหมองและท้อใจ น้อง ๆ คะในทุกฤดูกาลของชีวิต พระเจ้าทรงเลี้ยงดูนกน้อยใหญ่ และไม่เคยทอดทิ้ง แน่นอนคะที่พระองค์จะทรงเลี้ยงดูเราด้วย เพราะพระคำของพระองค์บอกกับเราว่า แม้ฤดูกาลจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่พระเจ้าก็ยังทรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นเสมือนเดิมเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นให้เราเงยหน้าขึ้นสู่เบื้องบน และทูลขอต่อพระองค์ด้วยความเชื่อ นอกจากนี้ หากเราขอบพระคุณพระองค์ด้วยใจกตัญญูและเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงดีต่อเราเสมอแล้ว พระเจ้าผู้ทรงพระเมตตากรุณาจะไม่ทรงเอ็นดู และช่วยเหลือเราอย่างไรได้ พระองค์จะทรงตอบคำอธิฐานของเรา และช่วยเราอย่างแน่นอนคะ 588 พระคำของพระเจ้าได้สัญญาว่า "จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวายอาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ...แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้" น้อง ๆ คะ พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ให้คำหนุนใจและความหวังแก่ชีวิตน้อง ๆ อย่างมาก ถ้าน้องจะพิจารณาและท่องจำพระคริสต์ธรรมคัมภีร์เหล่านี้ ให้พระคำของพระเจ้าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของน้อง จะทำให้น้อง ๆ เข้มแข็ง และสามารถเผชิญปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมีชัย 001 “ข้าพเจ้าเงยหน้าดูภูเขา ความอุปถัมภ์ของพระเจ้ามาจากไหน ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก” “จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัย ของพระเจ้า ซึ่งปรากฏอยู่ในพระคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย” “สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์” “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ (คือพระเยซูคริสต์) เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” พระเยซูตรัสว่า “เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์”พระเยซูตรัสว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา ในพวกท่านมีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้บุตรเมื่อเขาขอขนมปัง หรือให้งูเมื่อบุตรขอปลา เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาป ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์” ..... |
|
|
|
|
|
lozo Write Comment (0 comments)
|
Read more...
|
|
|
|
|
|
ตอบ "ความยำเกรงพระเจ้าเป็นการสอนให้เกิดปัญญา และความถ่อมใจเดินอยู่ข้างหน้าเกียรติ" ความถ่อมใจ เป็นรากฐานเบื้องต้นของกิจการดีทุกอย่าง ที่จะดำเนินต่อเนื่องไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งด้านจิตใจ และการดำเนินชีวิตให้ประสบความสำเร็จ การถ่อมนั้น ตามพจนานุกรมแปลว่า "ทำให้ด้อยลงหรือลดต่ำลง" คำว่าต่ำในที่นี้คือ การลดตัวลง ไม่ถือชั้นวรรณะ ยอมทำการต่ำกว่าตำแหน่งหน้าที่ยศศักดิ์ และเมื่อพลาดก็ยอมรับผิดด้วยความถ่อมใจ ในพระคำพระเจ้ากล่าวว่า ในทำนองเดียวกันท่านที่อ่อนอาวุโสก็จงเชื่อฟังคำของพวกผู้ใหญ่ อันที่จริงให้ท่านทุกคนมีความถ่อมใจในการปฏิบัติต่อกันและกัน ด้วยว่าพระเจ้าทรงเป็นปฏิปักษ์กับคนเหล่านั้น ที่ถือตัวจองหอง แต่พระองค์ทรงสำแดงพระคุณแก่คนที่ใจอ่อนน้อมถ่อมตน" -จบ- |
|
|
|
|
|
Write Comment (0 comments)
|
|
เงินซื้อทุกอย่างได้จริงหรือ? |
|
|
|
|
ตอบ รักความรักทำให้คนตาบอด มีคำว่าไว้แต่ก็มีเพลงที่บอกว่า "เธอเป็นแสงสว่างกลางใจฉัน" You light up my life ความรักหนุ่มสาวเป็นดาบสองคมนั่นแหละ ด้านดีก็ดีเหลือหลาย ด้านร้ายก็ร้ายสุดพรรณนา จะรักทั้งทีต้องรักให้เป็น ไม่หลง เป็นการยากที่จะบอกถึงลักษณะที่ชัดเจน แต่ก็พอจะบอกความแตกต่างได้บ้างดังนี้ ความหลงเกิดทันทีแต่ความรักค่อย ๆ งอกงาม ความหลงเกิดได้ง่ายเพียงแค่ได้เจอคนที่รูปร่างหน้าตาถูกใจ หรืออยู่ในบรรยากาศที่โรแมนติก แต่ความรักแท้ต้องใช้เวลาพัฒนาขึ้นทั้งสองฝ่ายได้เรียนรู้จักกันมากขึ้น รู้ว่าต่างฝ่ายต่างชอบอะไรไม่ชอบอะไร รู้จักอุปนิสัยใจคอของกันและกัน ความหลงมองเห็นแต่ด้านดีแต่ความรักเห็นภาพจริง ความหลงจะทำให้เราเห็นเขาดีหมด ถูกหมดทุกอย่าง แต่ในความรักแท้เราจะยังเห็นภาพจริงของเขาอย่างไม่บิดเบือน เขามีส่วนไม่ดียังบ้างเราก็รู้ แต่เมื่อชั่งดูก็เห็นว่ายังรับได้ ความหลงเกิดได้กับหลายคน แต่ความรักเกิดได้กับคนเดียว ในความหลง คน ๆ หนึ่งอาจจะหลงรักหลาย ๆ คนในเวลาเดียวกันได้ แต่ความรักแท้เป็นความรักที่มั่นคงและซื่อสัตย์ต่อคน ที่เรารักเพียงคนเดียวเท่านั้น ความหลงทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ความรักยังบังคับตัวเองได้ ความหลงทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง ขาดสติสัมปชัญญะ ความหลงมักส่งผลให้เราทำผิดในเรื่องเพศ แต่ความรักรู้จักการรอคอย |
|
|
|
|
|
lozo Write Comment (0 comments)
|
|
|
|
|
|
ตอบ รักความรักทำให้คนตาบอด มีคำว่าไว้แต่ก็มีเพลงที่บอกว่า "เธอเป็นแสงสว่างกลางใจฉัน" You light up my life ความรักหนุ่มสาวเป็นดาบสองคมนั่นแหละ ด้านดีก็ดีเหลือหลาย ด้านร้ายก็ร้ายสุดพรรณนา จะรักทั้งทีต้องรักให้เป็น ไม่หลง เป็นการยากที่จะบอกถึงลักษณะที่ชัดเจน แต่ก็พอจะบอกความแตกต่างได้บ้างดังนี้ ความหลงเกิดทันทีแต่ความรักค่อย ๆ งอกงาม ความหลงเกิดได้ง่ายเพียงแค่ได้เจอคนที่รูปร่างหน้าตาถูกใจ หรืออยู่ในบรรยากาศที่โรแมนติก แต่ความรักแท้ต้องใช้เวลาพัฒนาขึ้นทั้งสองฝ่ายได้เรียนรู้จักกันมากขึ้น รู้ว่าต่างฝ่ายต่างชอบอะไรไม่ชอบอะไร รู้จักอุปนิสัยใจคอของกันและกัน ความหลงมองเห็นแต่ด้านดีแต่ความรักเห็นภาพจริง ความหลงจะทำให้เราเห็นเขาดีหมด ถูกหมดทุกอย่าง แต่ในความรักแท้เราจะยังเห็นภาพจริงของเขาอย่างไม่บิดเบือน เขามีส่วนไม่ดียังบ้างเราก็รู้ แต่เมื่อชั่งดูก็เห็นว่ายังรับได้ ความหลงเกิดได้กับหลายคน แต่ความรักเกิดได้กับคนเดียว ในความหลง คน ๆ หนึ่งอาจจะหลงรักหลาย ๆ คนในเวลาเดียวกันได้ แต่ความรักแท้เป็นความรักที่มั่นคงและซื่อสัตย์ต่อคน ที่เรารักเพียงคนเดียวเท่านั้น ความหลงทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ความรักยังบังคับตัวเองได้ ความหลงทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง ขาดสติสัมปชัญญะ ความหลงมักส่งผลให้เราทำผิดในเรื่องเพศ แต่ความรักรู้จักการรอคอย |
|
|
|
|
|
Write Comment (0 comments)
|
|
|