You are not authorized to view this resource.
You need to login.
Thailand Full Gospel Masscommunications



   
                                 สื่อมวลชนทางชีวิตยินดีต้อนรับทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซด์ของเรา และขอมอบความสุขวันคริสตมาสและวันขึ้นปีใหม่แด่ทุกท่านด้วย
      มีการฉลองคริสตมาสในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เราได้เชิญมิชชันนารี 3 ท่านที่เคยอยู่ประเทศไทยเล่าให้พวกเราฟังถึงบรรยากาศการฉลองคริสตมาสในบ้านเมืองของเขา ท่านแรก คือ อาจารย์  Lester Markham จากประเทศแคนนาดา ท่านที่สองคือ อาจารย์ Oddver Johansen  จากประเทศนอร์เวย์ และท่านที่สามคือ อาจารย์ Bertil Anderson จากประเทศสวีเดน


คริสต์มาสในดินแดนหิมะ
 คริสต์มาสในดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน

เกร็ดความรู้

 เรื่องดอกคริสต์มาส
เรื่องต้นสน
ดาวแห่งเบ็ธเลเฮม
ซานตาคลอส
     
 
                 วันศุกร์ประเสริฐ คือวันที่องค์พระเยซูคริสต์ถูกปลงพระชนม์บนไม้กางเขน หลังจากวันคริสตสมภพแล้ว พระเยซูก็เจริญวัยขึ้นในครอบครัวของโยเซฟซึ่งมีอาชีพเป็นช่างไม้ในเมืองนาซาเร็ธ พระองค์ดำรงชีวิตเป็นที่ชอบในสายพระเนตรของพระเจ้าและในสายตาของมนุษย์ จนกระทั่งพระชนม์มายุได้ 30 พรรษา จึงเสด็จออกเทศนาสั่งสอนประชาชนไปทั่วตามหมู่บ้านในชนบทและตามเขตแดนต่าง ๆ ของประเทศอิสราเอล ทรงเทศนาสั่งสอนถึงแผ่นดินของพระเจ้า หรือทางที่จะนำไปสู่อาณาจักรของพระเจ้าคือ ทางไปสวรรค์นั่นเอง พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต (นิรันดร์) ไม่มีใครไปถึงพระบิดา (พระเจ้าบนสวรรค์)ได้ เว้นไว้มาทางเรา” คำสอนส่วนใหญ่ของพระองค์มักจะใช้รูปแบบของคำอุปมาหรือการเปรียบเทียบพระองค์ประกาศสั่งสอนประชาชนเป็นเวลาได้ 3 ปี จนกระทั่งพระชนม์มายุได้ 33 พรรษา นับวันประชาชนเป็นอันมากยิ่งหันมาเลื่อมใสและนิยมยกย่องพระองค์มากยิ่งขึ้น ทำให้บรรดาผู้นำในสมัยนั้นไม่พอใจ เพราะกลัวว่าพวกตนจะเสียดุลอำนาจในการปกครอง และประชาชนจะพากันเสื่อมศรัทธาในการปกครองอันไม่เป็นธรรมของพวกตน จึงได้ยุยุงส่งเสริมประชาชนอีกส่วนหนึ่งให้ลุกฮือขึ้นต่อต้านพระองค์ และได้ให้สินบนแก่สาวกคนหนึ่งเพื่อนำจับพระองค์
          ช่วงอาทิตย์สุดท้าย พระองค์เสด็จประทับในกรุงเยรูซาเล็ม จนถึงคืนวันพฤหัสบดี ทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารกับพวกอัครสาวก 12 คน เป็นครั้งสุดท้ายที่เรียกว่า The Last Supper แล้วจึงพาพวกเขาเสด็จไปในสวนชื่อ “เก็ธเซมาเน” เพื่ออธิษฐาน ขณะนั้นเองสาวกคนหนึ่งชื่อ “ยูดาอิศคาริโอด” ซึ่งรับสินบนเป็นเงิน 30 แผ่น ได้แอบออกไปนำทหารมาล้อมจับพระองค์ ซึ่งพระองค์ก็เสด็จไปโดยมิได้ขัดขืนและทรงห้ามพวกสาวกมิให้ต่อสู้ แต่พวกสาวกได้ผละหนีไปจากพระองค์ด้วยความกลัวสิ้นทุกคนเช้าวันศุกร์ (วันศุกร์ประเสริฐ) บรรดาพวกผู้นำและปุโรหิตใหญ่ (ทางศาสนา) ได้ปรึกษาหารือกันเพื่อหาทางประหารพระเยซูเสีย จึงจับมัดพระองค์นำไปฟ้องต่อปีลาตเจ้าเมือง ยูดา อิสคาริโอด เห็นเช่นนั้นจึงนำเงินสินบนสามสิบแผ่นมาคืนแก่พวกผู้นำ และปุโรหิตแต่พวกเขาไม่ยอมรับ ยูดาจึงทิ้งเงินไว้ในวิหารแล้วออกไปผูกคอตาย
เมื่อปีลาตไต่สวนแล้วเห็นว่า พระเยซูไม่มีความผิดใด ๆ เลย จึงคิดที่จะปล่อยพระองค์ไป เพราะในอีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลปัสคาของชาวยิว ปกติในเทศกาลนี้ทางการจะปล่อยนักโทษคนหนึ่งเป็นอิสระตามที่ประชาชนเห็นชอบ ท่านจึงเสนอว่าระหว่าง บาระนาบา ซึ่งเป็นนักโทษประหารในคดีอุกฉกรรจ์กับพระเยซูจะปล่อยใครดี ด้วยหวังว่าจะช่วยพระเยซูไว้ แต่พวกผู้นำและปุโรหิตยุยงประชาชนให้ร้องตะโกนขอให้ปล่อยบาระนาบาและนำพระเยซูไปตรึงเสียที่กางเขน ปีลาตไม่อาจขัดใจประชาชนได้เพราะเกรงจะเกิดการจราจลจึงนำน้ำมาล้างมือต่อหน้าฝูงชน ประกาศไม่รับผิดชอบต่อคดีของผู้บริสุทธิ์คนนี้ ประชาชนต่างตะโกนว่า “ให้เลือดของเขาตกอยู่บนเรา และลูกหลานของเราด้วย” ปีลาตจึงปล่อยบาระนาบา และมอบพระเยซูให้นำไปตรึงบนไม้กางเขน 

        เขาโบยตีพระองค์ เปลื้องฉลองพระองค์ออกเอาเสื้อสีแดงเข้มสวมให้ เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียรของพระองค์ และให้พระองค์ถือไม้อ้อไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวา แล้วพวกเขาก็คุกเข่าเยาะเย้ยว่า “กษัตริย์ชาติยูดายจงทรงพระเจริญ” แล้วถ่มน้ำลายรดพระองค์ เอาไม้อ้อตีพระเศียร เมื่อเยาะเย้ยพระองค์แล้วก็ถอดเสื้อนั้นออกเอาเสื้อของพระองค์สวมให้แล้วนำออกไปที่นอกเมืองยังภูเขาชื่อ “โฆลาโฆธา” (แปลว่ากระโหลกศรีษะ) ใช้ตะปูตอกตรึงพระองค์ไว้บนไม้กางเขนที่นั่น โดยมีโจร 2 คนถูกตรึงขนาบ ข้างซ้ายและขวาเวลานั้นเป็นเวลาเที่ยงวันแต่เกิดมืดมัวทั่วแผ่นดินจนกระทั่งถึงเวลาบ่ายสามโมงพระเยซูตรัสเป็นครั้งสุดท้ายว่า “สำเร็จแล้ว” จึงปลงพระชนม์ ทันใดนั้นเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ผู้คนพากันตกใจกลัวยิ่งนักพูดกันว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นบุตรของพระเจ้า”ครั้นพลบค่ำก็มีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ “โยเซฟ” ซึ่งเป็นศิษย์ของพระเยซู จากหมู่บ้าน “อะริมาธาย” ได้มาขออนุญาตินำพระศพของพระองค์ลงจากกางเขนพันหุ้มด้วยผ้าป่านที่สะอาดไปฝังไว้ในอุโมงค์ของตน ที่เจาะไว้ในถ้ำ เสร็จแล้วจึงกลิ้งหินใหญ่ปิดปากอุโมงค์ไว้



            เมื่อเขาเอาพระศพของพระเยซูไปฝังไว้ในอุโมงค์ในเย็นวันศุกร์ เช้าวันเสาร์บรรดาผู้นำทางศาสนาได้ไปยังจวนของปีลาตผู้สำเร็จราชการจากโรม ขอตราโรมันไปประทับไว้ที่ปากอุโมงค์เพื่อห้ามไม่ให้ใครเปิดหรือเคลื่อนย้ายพระศพ ผู้ใดบังอาจฝ่าฝืนมีโทษถึงตาย แล้วจัดทหารยามเฝ้าไว้อย่างแน่นหนาเวลาใกล้รุ่งเช้าของวันอาทิตย์ มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่ง ได้ไปที่อุโมงค์ฝังพระศพของพระเยซู ในทันใดนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เนื่องจากทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้าลงมาจากสวรรค์ และเลื่อนหินที่ปิดปากอุโมงค์ออกแล้วนั่งบนก้อนหินนั้น มีรัศมีขาวเจิดจ้าเปล่งประกายออกจากใบหน้าของทูตสวรรค์องค์นั้นสว่างไสวประดุจแสงฟ้าแลบ และเสื้อผ้าของท่านก็ขาววาววับประหนึ่งสีขาวของหิมะ 
           บรรดายามรักษาการณ์เมื่อเห็นทูตสวรรค์ ก็ตัวสั่นงันงกด้วยความตกใจกลัวจนเป็นลมสิ้นสติไป แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่ผู้หญิงเหล่านั้นว่า “อย่ากลัวเลย เรารู้แล้วว่าพวกเจ้าทั้งหลายมาหาพระเยซู พระองค์หาประทับอยู่ที่นี่ไม่ เพราะพระองค์ได้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมา ดังที่พระองค์ได้เคยตรัสไว้นั้นแล้ว จงมาตรวจดูที่ซึ่งเขาได้เคยวางพระศพของพระเยซูให้เห็นจริงเถิด แล้วจงรีบไปบอกแก่บรรดาสาวก (ผู้ที่เชื่อและติดตามพระเยซู) ของพระองค์ว่า บัดนี้พระองค์ได้ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้ว และกำลังเสด็จไปรอพบพวกเขาที่แคว้นกาลิลี พวกท่านจะได้เห็นพระองค์ที่นั่น จงจำถ้อยคำที่เราสั่งไว้นี้ให้ดี” ในค่ำวันอาทิตย์นั้นเองขณะที่บรรดาพวกสาวก (ผู้ที่เชื่อและติดตามพระเยซู) กำลังเล่าเรื่องราวของพระเยซูอยู่นั้น พระเยซูได้ทรงสำแดงพระองค์แก่คนเหล่านั้น ทรงยืนอยู่ต่อหน้าคนทุกคน และอวยพระพรแก่พวกเขาว่า “จงอยู่เย็นเป็นสุขเถิด” ทุกคนต่างตกใจกลัวเป็นอย่างมาก เพราะคิดว่าพระองค์ทรงเป็นผี                 
    
        พระเยซูจึงตรัสว่า “ไฉนพวกท่านจึงตกใจกันนัก ? ไยจึงสงสัยว่ามิใช่เรา ? จงดูมือของเราและดูเท้าของเรา และท่านจะรู้ว่าเป็นเราเอง จงคลำตัวเราให้แน่ใจเถิดว่าเรามิใช่ผี เพราะผีไม่มีตัวตนดังที่ท่านเห็นเราอยู่นี้ เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงยื่นพระหัตถ์ให้พวกเขาดูรอยตาปู และชี้ให้พวกเขาดูแผลที่พระบาทของพระองค์ เมื่อเห็นว่าสาวกเหล่านั้นลังเลใจกึ่งปลื้มปิติยินดี กึ่งสงสัย พระองค์จึงตรัสถามว่า พวกท่านมีอะไรกินบ้างหรือไม่ ? เขาก็เอาปลาย่างชิ้นหนึ่งมาถวายพระองค์ พระองค์ทรงรับมาเสวยต่อหน้าเขาทั้งหลายหลังจากที่พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์แล้ว พระองค์ได้ทรงใช้ชีวิตอยู่กับสาวกของพระองค์เป็นเวลา 40 วัน แล้วพระองค์จึงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ต่อหน้าเขาเหล่านั้นนี่เป็นเหุตการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว การที่พระเยซูทรงชนะความตายโดยการฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาในวันที่สาม ตามที่พระองค์ได้ทรงทำนายไว้ล่วงหน้านั้น จึงทำให้คำสอนของพระองค์มีหลัก และความเชื่อของผู้ที่เชื่อในพระองค์มีหลักด้วย ทำให้ทุกคนที่เชื่อในพระองค์มีความมั่นใจว่าเมื่อตายไปแล้ว สักวันหนึ่งก็จะได้ฟื้นขึ้นมาเช่นเดียวกันกับพระองค์เป็นรูปกายใหม่ที่ไม่ต้องตายอีก และจะมีชีวิตร่วมกับพระองค์บนแผ่นดินสวรรค์แล้วรูปกายใหม่ที่เป็นขึ้นจะเป็นอย่างไร คุณเคยสงสัยไม๊ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีความสงสัย ก็ไม่แปลก เพราะผู้คนในอดีตเขาก็สงสัยเหมือนกัน ซึ่งได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ พระธรรม 1 โครินทร์ บทที่ 15 ข้อที่ 35-58 ว่าแต่มีบางคนจะถามว่า "คนตายจะเป็นขึ้นมาอย่างไรได้ เมื่อเขาเป็นขึ้นมาจะมีรูปกายเป็นอย่างไร" อาจารย์เปาโลก็ตอบคนเหล่านั้นที่สงสัยเป็นคำอุปมาเปรียบเทียบว่า เมล็ดที่ท่านหว่านลงนั้น ถ้าไม่ตายเสียก่อนแล้วจะงอกขึ้นใหม่ไม่ได้... พระเจ้าทรงประทานรูปร่างต้นของเมล็ดนั้นตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบ และทรงประทานรูปร่างแก่เมล็ดพืชทุกพรรณตามชนิดของมันและสำหรับมนุษย์เอง ร่างกายสำหรับสวรรค์ก็มี และร่างกายสำหรับโลกก็มี แต่ว่าศักดิ์ศรีของร่างกายสำหรับสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และศักดิ์ศรีของร่างกายสำหรับโลกก็อย่างหนึ่ง การซึ่งจะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้นก็เหมือนกัน สิ่งที่หว่านลงนั้นเป็นของที่จะเน่าเปื่อย สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่นั้นก็จะไม่รู้จักเน่าเปื่อย สิ่งที่หว่านลงนั้นไร้เกียรติ สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่ก็จะมีศักดิ์ศรี สิ่งที่หว่านลงนั้นอ่อนกำลัง สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่ก็จะทรงอานุภาพ ดูก่อนท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีความล้ำลึกที่จะบอกแก่ท่าน คือว่าเราจะไม่ล่วงหลับหมดทุกคน แต่เราจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่หมด ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีเสียงแตร และคนที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาปราศจากเน่าเปื่อย แล้วเราทั้งหลายจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ เพราะว่า สิ่งซึ่งเน่าเปื่อยนี้ต้องสวมซึ่งไม่เน่าเปื่อย และสภาพมตะนี้ต้องสวมสภาพอมตะ เมื่อสิ่งซึ่งเน่าเปื่อยนี้ จะสวมซึ่งไม่เน่าเปื่อย และสภาพมตะนี้จะสวมสภาพอมตะ เมื่อนั้นตามซึ่งเขียนไว้ในพระคัมภีร์จะสำเร็จว่า ความตายก็ถูกกลืนถึงปราชัยแล้ว 
สาธุการแด่พระเจ้า ผู้ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลาย โดยพระเยซูคริสตเจ้าของเรา
Read more...
 
สื่อมวลชนทางชีวิต (The way of life) 3131/55-58 ถนนสุขุมวิท ซอย 101/2 บางนา กรุงเทพฯ 10260
โทรศัพท์ 0-2361-1182, 0-2398-8331 โทรสาร 0-2398-8327