คำตอบ: แม้พระคัมภีร์ไม่เคยบันทึกไว้ว่าพระเยซูได้พูดตรงๆ ว่า “เราเป็นพระเจ้า” แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า พระองค์ไม่ได้ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ในยอห์น 10:30 กัน “เรากับพระบิดาของเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” เมื่อมองในแวบแรก มันอาจจะดูไม่เหมือนว่าเป็นการยอมรับว่าทรงเป็นพระเจ้า แต่จงดูว่าว่าชาวยิวมีปฏิกริยาอย่างไรต่อคำกล่าวนี้ “พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า เราจะขว้างท่านมิใช่เพราะการกระทำดี แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาท เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า”(ยอห์น 10:33) คนยิวเข้าใจดีว่าคำตรัสของพระเยซูเป็นการยอมรับว่าทรงเป็นพระเจ้า ในพระธรรมยอห์น 8:58 เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว”
เมื่อชาวยิวได้ยินก็ตอบโต้ด้วยการหยิบก้อนหินขึ้นมาเพื่อจะขว้างพระองค์ (ยอห์น 8:59) ทำไมชาวยิวจึงต้องการที่จะขว้างพระองค์หากพระองค์ไม่ได้ตรัสอะไรบางอย่าง ที่เป็นการหมิ่นประมาทพระนามของพระเจ้า เช่น การกล่าวว่าทรงเป็นพระเจ้า?

สาวกโธมัสประกาศเกี่ยวกับพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้า” (ยอห์น 20:28) พระเยซูทรงไม่โต้แย้งคำกล่าวนั้น พระเยซูทรงไม่ได้แก้ไขคำพูดของเขา ในหนังสือวิวรณ์ ทูตสวรรค์บอกให้อัครสาวกยอห์นนมัสการแต่พระเจ้าเท่านั้น (วิวรณ์ 19:10) หลายครั้งในพระคัมภีร์พระเยซูทรงได้รับการนมัสการ (มัทธิว 2:11; 14:33; 28:9,17; ลูกา 24:52; ยอห์น 9:38) พระองค์ทรงไม่เคยว่ากล่าวผู้ที่นมัสการพระองค์ หากพระเยซูไม่ใช่พระเจ้า พระองค์คงจะต้องบอกผู้คนไม่ให้นมัสการพระองค์

เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่แสดงว่าพระเยซูจะต้องเป็นพระเจ้า คือ หากพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าแล้ว การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ก็คงไม่มีเพียงพอที่จะเป็นค่าไถ่สำหรับความบาปของคนทั้งโลก (1 ยอห์น 2:2) มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถจ่ายค่าไถ่สำหรับโทษที่ไม่มีวันหมดได้ มีแต่เพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถรับแบกบาปของโลกทั้งโลกไว้ที่พระองค์ได้ (1 ยอห์น 2:2) ทรงสิ้นพระชนม์ แล้วทรงฟื้นคืนพระชนม์ — เพื่อพิสูจน์ถึงชัยชนะเหนือความบาปและความตาย

คำตอบ:
– “ ฉันเป็นคนดีคนหนึ่ง ดังนั้นฉันก็ไปสวรรค์ได้ ”
– “ โอเค ถึงแม้ฉันจะทำเรื่องไม่ดีบ้าง แต่ฉันก็ทำความดีมากกว่า ดังนั้นฉันก็ไปสวรรค์ได้ ”
– “ พระเจ้าไม่ส่งฉันไปลงนรก เพียงเพราะฉันไม่ได้ใช้ชีวิตตามแบบพระคัมภีร์หรอก ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว!”
– “ เฉพาะคนที่เลวจริงๆ อย่างคนที่ข่มขืนเด็ก และพวกฆาตกรเท่านั้นแหละ ที่จะต้องลงนรก ”

สิ่งข้างต้นนี้ คือคำกล่าวอ้างที่คนส่วนใหญ่พูดถึงเรื่องการไปสวรรค์ แต่ความเป็นจริงก็คือ สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นความเท็จ ซาตานซึ่งเป็นผู้ครองโลกได้ฝังความคิดเหล่านี้ไว้ในหัวพวกเรา เป็นเรื่องโกหกที่ว่า พระเจ้าไม่สนใจกับความบาปเล็กๆ น้อยๆ และนรกนั้นมีไว้สำหรับ “คนเลว” เท่านั้น บาปทุกชนิดเป็นตัวกั้นเราออกจากพระเจ้า แม้กระทั่ง “การโกหกด้วยความบริสุทธิ์ใจ” มนุษย์ทุกคนล้วนมีบาป และไม่มีใครดีพอที่จะเข้าแผ่นดินสวรรค์ด้วยตัวเองได้ ในพระธรรม (โรม 3:23) การเข้าแผ่นดินสวรรค์ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าความดีของเรามีมากกว่าความชั่ว เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว คงไม่มีสักคนที่จะเข้าไปได้ เราไม่สามารถจะทำการดีเพื่อจะเป็นทางไปสวรรค์เองได้

เมื่อพระเจ้าสร้างโลกนั้น โลกอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนดีทั้งสิ้น ต่อมาพระองค์ทรงสร้างอาดัมและเอวา และให้อิสระแก่พวกเขา ดังนั้น เขาจึงเลือกได้ว่าจะดำเนินชีวิตตาม และเชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่ แต่อาดัม และเอวามนุษย์คู่แรกที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ได้รับการล่อลวงโดยซาตานให้ขัดคำสั่งพระเจ้า พวกเขาจึงมีความบาปซึ่งเป็นตัวแยกเขา (รวมถึงทุกคนที่เกิดมาหลังจากนั้น และพวกเราด้วยเช่นกัน) ออกจากสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระเจ้า พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และไม่สามารถอยู่ท่ามกลางความบาปได้ ในฐานะที่เราเป็นคนบาป เราไม่สามารถไปสวรรค์ได้ด้วยวิถีทางของเราเอง ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงให้มีหนทางหนึ่งขึ้น เพื่อที่เราจะได้กลับมาคืนดีกลับพระองค์ในสวรรค์ได้ คือ พระเยซูผู้ทรงบังเกิดมาในโลกนี้ เพื่อพระองค์จะได้สอนพวกเราถึงทางรอดนั้น และมาตายเพื่อบาปของเรา เพื่อเราจะไม่ต้องตาย และในวันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ในพระธรรม (โรม 4:25) ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงชัยชนะเหนือความตายของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง พระเจ้าและมนุษย์ เพื่อเราจะได้มีสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระองค์ เพียงแค่เรารับเชื่อ

คนส่วนใหญ่เชื่อในพระเจ้า แม้แต่ซาตานก็ยังเชื่อ แต่การจะได้รับความรอดนั้น เราต้องหันเข้าหาพระองค์ และสร้างสายสัมพันธ์ส่วนตัว หันหลังให้กับความบาป และติดตามพระองค์ เราจะต้องเชื่อและไว้วางใจในพระเยซูในทุกสิ่งที่เรามี และทุกสิ่งที่เรากระทำ พระคัมภีร์สอนไว้ว่า ไม่มีทางรอดอื่นใดนอกจากทางพระคริสต์ พระเยซูตรัสไว้ในพระธรรม ยอห์น 14:6 ว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา”

พระเยซูทรงเป็นทางรอดเพียงทางเดียว เพราะพระองค์คือผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถชดใช้โทษจากบาปของเราได้ (โรม 6:23) ไม่มีความเชื่อใดที่เสนอวิธีชดใช้ความบาปเหมือนกับที่พระเยซูคริสต์จะทรงให้เราได้ ไม่มี “ศาสดา” ท่านใดมาจุติเป็นมนุษย์ (ยอห์น 1:1,14) ซึ่งเป็นเพียงทางเดียวเท่านั้นที่หนี้แห่งความบาปจะได้รับการชดใช้ พระเยซูต้องเป็นพระเจ้าเท่านั้น เพื่อพระองค์จะสามารถชดใช้บาปของเราได้ และพระองค์ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น เพื่อพระองค์จะได้ตาย ความรอดมีเพียงทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น! “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” ในพระธรรม (กิจการ 4:12)

ตอบอยากบินได้เหมือนนก ก็คิดสร้างเครื่องบิน อยากว่ายใต้น้ำ ก็สร้างเรือดำน้ำ อยากวิ่งเร็วเหมือนม้า ก็สร้างรถยนต์ ถ้าเราได้มีโอกาสยืนที่ตึกสูง ๆ ในใจกลางเมืองใหญ่ ๆ และมองไปรอบ ๆ เมือง เราจะเห็นมนุษย์ มีความสามารถในการสร้างตึกรามบ้านช่อง (ดูเหมือนมนุษย์ยิ่งใหญ่จริง ๆ) มนุษย์สร้างสิ่งต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ทีวี คอมพิวเตอร์ และอื่น ฯลฯ แต่จะมีสักกี่คนที่ถามตัวเองว่า ใครสร้างฉัน และสร้างฉันมาทำไม มีเป้าหมายอะไร ? คุณทราบไหมว่า คำตอบคืออะไร ? ผู้ทรงสร้างในมนุษย์ได้มีเป้าหมายในการสร้าง ดัง พระวจนะคำของพระเจ้าใน มีคาห์ บทที่ 6 ข้อ 8 “มนุษย์เอ๋ย พระเจ้าทรงสำแดงแก่เจ้าแล้วว่าอะไรดี และพระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรจากเจ้า” 1. ให้กระทำความยุติธรรม / ทำในส่งที่ถูกต้องต่อผู้อื่น 2. รักสัจกรุณา / มีความรักความเมตตาต่อผู้อื่น 3. และดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจและมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางในการดำเนินชีวิต เครื่องบินมีปัญหายังต้องส่งซ่อมบริษัทผลิต ถ้ามนุษย์มีปัญหาจิตใจ โปรดกลับมาหาพระเจ้าเถอะ พระเจ้าตรัสว่า “จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน และพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้” -จบ-

ตอบในเวลานั้นเหล่าสาวกมาเฝ้าพระเยซูทูลว่า ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ พระเยซูจึงเรียกเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งมาให้ยื่นท่ามกลางเขา แล้วตรัสว่า “ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเหมือนเด็ก ๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลยเหตุฉะนันถ้าผู้ใด ถ่อมจิตใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็ก เช่นี้ คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเราด้วย แต่ผู้ใดจะทำผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่วางใจในเราให้หลงผิด ถ้าเอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงเสียที่ทะเลลึก็ดีกว่า” มีเด็กจำนวนมากถูกผู้ใหญ่ใช้เป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์อย่างไม่ชอบธรรม อย่างเช่นการหากินกับเด็ก โสเภณีเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย การใช้แรงงานเด็ก นำเด็กไปขอทาน หรือการให้เด็กติดยาเสพติดแล้วใช้ให้ไปลักขโมย เป็นต้น มีเด็กอีกส่วนหนึ่งที่อยู่กับพ่อแม่ มีบ้านมีอาหาร มีเสื้อผ้า แต่ขาดความรักการเอาใจใส่จากผู้ใหญ่ มักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเด็ก ๆ กลายเป็นผู้รองรับอารมณ์ร้าย ๆ ของผู้ใหญ่ถูกด่าว่า ข่มขู่ หรือแม้กระทั้งถูกตบตีอย่างรุนแรงเกินกว่าเหตุ ผู้ใหญ่มักไม่ใส่ใจว่าเมื่อเขาทำร้ายเด็กแล้ว เด็กจะรู้สึกอย่างไร ? เจ็บปวดแค่ไหน ? เขาไม่สนใจเพราะเด็ก ๆ ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้มากนัก แต่ใช่ว่าเด็กจะไม่มีความรู้สึกอย่างที่ผู้ใหญ่บางคนคิด แม้เด็กบางคนไม่กล้าแสดงความรู้สึกออกมา แต่เขาจะจำใส่ใจไปอีกนานทีเดียว พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์มีท่าทีต่อเด็ก ๆ อย่างไร เราสามารถพบคำตอบได้จากพระราชกิจ และคำสอนของพระเยซูคริสต์ดังที่ได้บันทึกไว้ในพระธรรมมัทธิว บทที่ 18 “ในเวลานั้นเหล่าสาวกมาเฝ้าพระเยซูทูลว่า ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ พระเยซูจึงเรียกเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งมาให้ยืนท่ามกลางเขา แล้วตรัสว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็ก ๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใด ถ่อมใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็ก เช่นนี้ คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเราด้วย แต่ผู้ใดจะทำผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่วางใจในเราให้หลงผิด ถ้าเอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงเสียที่ทะเลลึกก็ดีกว่า” ประการแรก พระเยซูรักเด็กเล็ก โดยใช้เด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งเป็นตัวอย่างอธิบายเรื่องใหญ่ การมีสิทธิ์ได้เข้าสวรรค์เป็นเรื่องใหญ่ และใครจะเป็นใหญ่ในสวรรค์ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก พระเยซูทรงเรียกเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งมายืนท่ามกลางพวกเขาและสอนว่าต้องกลับใจใหม่เหมือนเด็กเล็ก ๆ จึงจะเข้าสวรรค์ได้ ต้องถ่อมใจลงเหมือนเด็กเล็ก ๆ จึงเป็นใหญ่ในสวรรค์ได้ เด็กเล็ก ๆ มีความรู้น้อย มีประสบการณ์ชีวิตน้อย มีความสามารถน้อย ต้องพึ่งพาอาศัยผู้ใหญ่โดยเฉพาะคนที่เป็นพ่อแม่ ลุงป้า น้าอา หรือญาติพี่น้อง ทำให้เด็ก ๆ ให้ความวางใจแก่บุคคลเหล่านี้ พระเยซูเรียกร้องให้เรากลับใจใหม่ หันหลังให้ความบาป รู้จักไว้วางใจในพระเจ้ารู้จักพึ่งพาพระเจ้าด้วยสุดใจเหมือนเด็กเล็ก ๆ ธรรมชาติของมนุษย์คือโอ้อวด มีความหยิ่งในตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรู้ ผลงาน ทรัพย์สมบัติหรือความดีเพื่อจะให้อยู่เหนือผู้อื่น แต่ในแผ่นดินสวรรค์ วิธีการดังกล่าวใช้ไม่ได้ผลเพราะ พระเจ้าเป็นปฏิปักษ์กับคนเหล่านั้น ที่ถือตัวจองหอง แต่ทรงสำแดงพระคุณแก่คนที่อ่อนน้อมถ่อมตน เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงยกท่านขึ้นในเวลาอันควร (1ปต.5:5-6) ประการที่สอง พระเยซูทรงรักเด็กเล็ก ๆ เพราะพระองค์ทรงสอนว่า “ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กเช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเราด้วย” พระเยซูให้ความสำคัญกับเด็กเล็ก ๆ โดยนำพระองค์เองเข้าผูกพันกับเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพวกเขา และปกป้องเขาถ้าผู้ใดรับเด็กเล็กเช่นนี้ครนหนึ่งก็เหมือนกับได้รับพระองค์ด้วย” แต่ถ้าทำร้ายเด็กเล็กเช่นนี้ให้หลงผิดด้วยว่า เขายังไร้เดียงสา หรืออ่อนแอ พระองค์ทรงคาดโทษผู้นั้นไว้อย่างรุนแรงทีเดียว ประการสุดท้าย พระเยซูทรงรักเด็กเล็ก ๆ โดยทรงเตือนให้เรารู้ว่า ทูตสวรรค์ของพระองค์เฝ้าดูเด็กเล็ก ๆ อยู่ “จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง ด้วยเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ทูตสวรรค์ประจำของเขาเฝ้าอยู่เสมอ ต่อพระพักตร์พระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ (มัทธิว 18:10)” เด็ก ๆ มักจะถูกทำร้ายในที่ลับตาคน สำหรับพระเจ้าที่ลับตาก็เป็นที่แจ้ง กลางคืนก็สว่างอย่างกลางวัน พระองค์ทรงเห็นทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่าง ทูตสวรรค์ของพระองค์กำลังเฝ้าดูเด็กเล็ก ๆ อยู่ ทุกคนจึงควรระวังตัวปฏิบัติต่อเด็กเล็ก ๆ ตามสมควรด้วยความเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อสังคมของเรารักเด็กเล็ก ๆ และให้ความสำคัญกับเด็กเล็ก ๆ ดังที่พระเยซูทรงสอนและปฏิบัติเป็นแบบอย่าง เด็ก ๆ ในสังคมของเราจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรักและรู้จักให้ความรักต่อผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างผู้ที่อ่อนแอกว่า การเบียดเบียนซึ่งกันและกันในสังคมก็จะลดลง และแน่นอนปัญหาอาชญากรรมต่าง ๆ ก็จะลดน้อยลงด้วย นำมาซึ่งความสงบสุขและความมั่นคงที่จะเกิดขึ้นในสังคมของเรา -จบ-

ตอบ.. 08 “ฉันมีความสุขในพระพรที่มีมาแต่ละวัน แต่พี่นะสิ กลับหวาดกลัวว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นจนไม่มีความสุขเลย ฉันว่านี่แหละโง่กว่า” ในฤดูใบไม้ร่วง เป็นเวลาที่อากาศเริ่มหนาวเย็น ธรรมชาติรอบข้างกำลังมีแต่นกโรบิ้นหน้าอกสีแดงเท่านั้นที่ เกาะอยู่บนกิ่งฮอลลี่ และส่งเสียงร้องเพลงเจื้อยแจ้ว ทำให้เต่ายื่นหน้าออกมาจากกระดองอย่างสุดแสนจะรำคาญ “เฮ้อ อากาศหนาวออกอย่างนี้ อาหารก็เกือบจะไม่พอกินอยู่แล้ว ยังจะมาแกล้งร้องเพลงอยู่ได้” นกโรบิ้นตอบว่า “ฉันไม่ได้แกล้งร้องเพลงนะลุงเต่าแต่ฉันมีความสุขจริง ๆ ถึงอาหารจะมีน้อย ก็ยังพอมีไม่ใช่เหรอ” “เออน่า รอให้หนาวกว่านี้อีกหน่อยเถอะ แล้วเจ้าจะรู้สึก” เต่าสะบัดเสียงตอบ “ที่นี้หละเจ้าจะร้องเพลงไม่ออก เพราะ อาหารมีไม่พอ แล้วเจ้าก็จะต้องอดตาย” “แหม ลุง ถ้าจะให้ฉันคิดว่าจะต้องอดตายโดยที่ยังไม่รู้แน่ ฉันขอคิดว่าฉันจะมีอาหารพอกิน แล้วฉันก็จะไม่อดตายดีกว่า” ว่าแล้วเจ้าโรบิ้นน้อยก็บินจากไปพร้อมด้วยเสียงเพลงแห่งความสุข ทิ้งให้เต่าหงุดหงิดรำคาญใจอยู่แต่เพียงลำพัง ในขณะนั้นหิมะตกแล้ว ในสวนมีน้ำค้างแข็งและลมเย็นเยือก นกโรบิ้นสังเกตว่า ไม่มีนกตัวไหนร้องเพลงอีกแล้วมันถามนักรุ่นพี่ตัวหนึ่ง และได้รับคำตอบว่า “เจ้าโรบิ้น เจ้าน่ะช่างโง่จริง ๆ ที่มัวร้องเพลงอยู่ได้ ใคร ๆ เขามีแต่จะต้องทุกข์ร้อนทั้งนั้นแหละ ว่าพรุ่งนี้จะเอาอะไรกินกัน” โรบิ้นแย้งว่า “ฉันมีความสุขในพระพรที่มีมาแต่ละวัน” แต่พี่น่ะสิ กลับหวาดกลัวว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นจนไม่มีความสุขเลย ฉันว่านี่แหละโง่กว่า…” ในเวลาต่อมา กลางวันเริ่มสั้นลง ความหนาวเย็นรุนแรงยิ่งขึ้น นกอีกตัวหนึ่งปรับทุกข์กับโรบิ้นว่า “ฉันคิดว่าฉันคงจะตายในฤดูนี้แน่ เพราะไม่มีอาหารกิน…อันที่จริง ฉันก็เกือบจะตายมาหลายครั้งแล้ว แต่บังเอิญมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นทุกครั้ง ทำให้ ฉันรอดตายมาได้” โรบิ้นกล่าวแย้งว่า “ก็ถ้าเป็นอย่างนั้น sunทำไมพี่จึงไม่เชื่อล่ะว่าเหตุการณ์บังเอิญที่ไม่คาดฝัน ที่เกิดขึ้นกับพี่แล้ว จะเกิดขึ้นได้อีก จงเชื่อว่าจะมีสิ่งดีในแต่ละวัน และมีความสุขเถอะ อย่ามีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวเลย” เมื่อนกรุ่นพี่ได้รับกำลังใจมันจึงบินจากไปพร้อมด้วยเสียงเพลง นกโรบิ้นหน้าอกแดงยังคงร้องเพลงต่อไป มันบินผ่านโพรงที่เต่าใช้จำศีล ในครั้งนี้เต่าไม่ได้อารมณ์เสียอย่างเคย แต่กลับรู้สึกสดชื่นขึ้นที่เห็นสีสันของนกโรบิ้นหน้าอกแดง มันกำชับเจ้าโรบิ้นว่า “โรบิ้น ถ้าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ในฤดูใบไม้ผลิละก็ อย่าลืมบินมาร้องเพลงปลุกฉันด้วยนะ ” แล้วเต่าก็ผลุบหายเข้าไปในโพรง หลังจากนั้น ลมได้กรรโชกอย่างแรง พัดใบไม้มาปิดปากโพรงนั้น อากาศในยามค่ำคืนหนาวจับใจ เช้าวันรุ่งขึ้น พายุหิมะพัดกระหน่ำสวนจนกลายเป็นสีขาวโพลน อาหารขาดแคลนมากขึ้น นกโรบิ้นและนกอื่น ๆ พากันกระโดดกินลูกแบรี่ที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง แม้ว่าจะยังไม่อิ่มท้อง มันก็รู้สึกชื่นชมที่มีอาหารกิน มันจึงส่งเสียงร้องเพลงเจื้อยแจ้ว หัวใจเต็มไปด้วยความรู้สึก ขอบคุณ homeในเทศกาลคริสต์มาส ผู้คนตัดกิ่งฮอลลี่ไปประดับบ้านเพื่อเฉลิมฉลองวันประสูติของพระกุมารเยซู ลูกแบรี่ยังคงเหลือหล่นอยู่ตามพื้นบ้าง เจ้าโรบิ้นหน้าอกสีแดงยังคำจำคำพูดของนกรุ่นพี่ที่ว่าเหตุบังเอิญไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ ฉะนั้น แม้ว่ามันจะยังคงหิวโซ มันก็บินขึ้นไปเกาะบนกิ่งไม้หน้ากระท่อมและเริ่มร้องเพลงด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมและขอบคุณ ชายชราคนหนึ่งกำลังเดินกลับบ้าน เขารู้สึกหงอยเหงาเพราะไม่มีใครร่วมฉลองคริสต์มาสด้วย แต่ในทันใดนั้น เสียงเพลงไพเราะทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้น “อา…เจ้าโรบิ้นหน้าอกสีแดงนั้นเอง เจ้ากำลังร้องเพลงให้ฉันฟังใช่ไม๊นี่” เขาลืมความทุกข์ของตัวเองจนหมดสิ้น และปราดเข้าไปในบ้าน หยิบอาหารออกมาเลี้ยงนก ทั้งเศษขนมปังถั่วและหมูเบคอน นกโรบิ้นกินจนอิ่มด้วยความเอร็ดอร่อย หัวใจของมันพองโตด้วยความปิติยินดี เจ้าโรบิ้นยังคงร้องเพลงให้ชายชราฟังทุกวันจนตลอดฤดูหนาวนั้น และเขาก็เลี้ยงมันไว้เป็นเพื่อน ฤดูใบไม้ผลิย่างกรายมาอีกครั้ง เมื่อหิมะละลาย และดอกไม้เริ่มเบ่งบาน นักโรบิ้นจึงบินไปส่งเสียงร้องปลุกเจ้าเต่าให้ตื่นจากหลับ เต่าโผล่หน้าออกมาอย่างงัวเงีย และรู้สึกประหลาดใจ “ฮือ เจ้าโรบิ้น เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกหรือนี่” “เจ้าโรบิ้นตอบด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “ใช่แล้ว ลุงเต่า ฉันยังมีชีวิตอยู่ เพราะว่ามีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในชีวิตของเราเสมอเลยหละ” มันอดเสียมิได้ที่จะส่งเสียงร้องเพลงสรรเสริญและขอบคุณสวรรค์ ที่ให้สิ่งดีที่เกิดขึ้นอยู่เสมอและไม่เคยผิดพลาด หัวใจดวงน้อยภายใต้หน้าอกสีแดงของมัน มีความกล้าหาญและยังคงเต็มไปด้วยคำขอบคุณอยู่เสมอ 110 น้อง ๆ คะ ในคราวที่เรามีทุกข์ เราคงเต็มไปด้วยความเศร้าหมองและท้อใจ น้อง ๆ คะในทุกฤดูกาลของชีวิต พระเจ้าทรงเลี้ยงดูนกน้อยใหญ่ และไม่เคยทอดทิ้ง แน่นอนคะที่พระองค์จะทรงเลี้ยงดูเราด้วย เพราะพระคำของพระองค์บอกกับเราว่า แม้ฤดูกาลจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่พระเจ้าก็ยังทรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นเสมือนเดิมเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นให้เราเงยหน้าขึ้นสู่เบื้องบน และทูลขอต่อพระองค์ด้วยความเชื่อ นอกจากนี้ หากเราขอบพระคุณพระองค์ด้วยใจกตัญญูและเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงดีต่อเราเสมอแล้ว พระเจ้าผู้ทรงพระเมตตากรุณาจะไม่ทรงเอ็นดู และช่วยเหลือเราอย่างไรได้ พระองค์จะทรงตอบคำอธิฐานของเรา และช่วยเราอย่างแน่นอนคะ 588 พระคำของพระเจ้าได้สัญญาว่า “จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวายอาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ…แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” น้อง ๆ คะ พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ให้คำหนุนใจและความหวังแก่ชีวิตน้อง ๆ อย่างมาก ถ้าน้องจะพิจารณาและท่องจำพระคริสต์ธรรมคัมภีร์เหล่านี้ ให้พระคำของพระเจ้าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของน้อง จะทำให้น้อง ๆ เข้มแข็ง และสามารถเผชิญปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมีชัย 001 “ข้าพเจ้าเงยหน้าดูภูเขา ความอุปถัมภ์ของพระเจ้ามาจากไหน ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก” “จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัย ของพระเจ้า ซึ่งปรากฏอยู่ในพระคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย” “สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์” “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ (คือพระเยซูคริสต์) เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” พระเยซูตรัสว่า “เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์”พระเยซูตรัสว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา ในพวกท่านมีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้บุตรเมื่อเขาขอขนมปัง หรือให้งูเมื่อบุตรขอปลา เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาป ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์” …..

ตอบครอบครัวเป็นสถาบันหลักที่สำคัญของสังคมและมนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่มีครอบครัวของตนเอง ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เพราะครอบครัวเริ่มต้นพร้อมๆกับการเริ่มต้นของมนุษย์ชาติเมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลก พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ให้ปกครองดูแลโลก และพระเจ้าทรงเห็นว่าผู้ชายคนแรกอยู่คนเดียวไม่ดี พระองค์จึงทรงประทานและสถาปนาครอบครัวให้กับเขา เพื่อเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างมนุษย์ที่มีพระฉายของพระเจ้า มีความสุขและมีคุณค่า ครอบครัวคือที่ๆให้กำเนิดของมนุษย์ให้การเติบโต และเรียนรู้ชีวิต ถ้าพระเจ้าไม่สถาปนาชีวิตครอบครัวในโลกนี้ ก็จะมีเพียงมนุษย์คนแรกที่พระเจ้าสร้างคืออาดัมและคงจะไม่มีการเกิด แต่เมื่อพระเจ้าทรงสถาปนาให้มีครอบครัวเป็นที่ๆ ให้การเลี้ยงดู ให้ความเจริญเติบโต ให้ความรัก ให้การเรียนรู้ชีวิตและการศึกษา ดังนั้นเราจึงกล้าพูดว่า

ตอบ วัยสาว วัยชรา หรือแม้แต่เด็กๆ ก็มีความรู้สึกเสียใจด้วยกันทั้งนั้น อาจจะเป็นเพราะผู้อื่นทำให้เสียใจหรืออาจจะเกิดจากตัวเราเองก็ได้ บางคนน่าชมเชยจริง ๆ เมื่อเกิดความโศกเศร้าเสียใจชีวิตผิดหวังล้มเหลว เขาไม่ยอมปล่อยตัวปล่อยใจให้ล้มเหลวลงไปอีก แต่เขาพยายามสู้…สู้กับชีวิตและปัญหาต่างๆ จนชีวิตของเขาดีขึ้น และดีมากกว่าเดิมเสียอีก แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เสียอกเสียใจแล้วทำตัวเหลวไหล เสียหาย ปล่อยตัวปล่อยใจให้จมดิ่งลงสู่ความทุกข์ระทม ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานมากขึ้น ไม่ยอมทำใจให้เข้มแข็งเพื่อที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ได้อย่างมีสติที่มั่นคง เราคงเคยเห็นคนประเภทนี้ตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ทางทีวีบ่อย ๆ เช่น ผู้หญิงหรือผู้ชายบางคนเสียใจที่คนรักเอาใจออกห่างก็ประชดชีวิตโดยการฆ่าตัวตาย เด็กวัยรุ่นที่พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก ก็หันไปคบเพื่อนวัยเดียวกันเกิดไปเจอเพื่อนนิสัยไม่ดี ก็เลยไปกันใหญ่ จริง ๆ แล้วก็น่าเห็นใจมาก เพราะการที่เขาเสียใจนั้นส่วนใหญ่สืบเนื่องมาจากที่เขาต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่าง แต่เราจะมาโทษนั่นโทษนี่กันทำไม การที่ประชดความเสียใจด้วยการสูญเสียอีกจะมีประโยชน์อะไร บางคนเสียใจไปแล้วก็ยังมัวเสียเวลาครุ่นคิดคร่ำครวญอยู่กับเรื่องไร้สาระจนกลายเป็นโรคปราสาท เสียบุคลิกภาพไปอีก บางคนเสียเงินเสียทองเสียชื่อเสียง พร้อมชีวิตเป็นทาสของยาเสพติด ทำให้สูญเสียหนักขึ้นไปอีก ยิ่งกว่านั้นเสียใจแล้วยอมเสียชีวิตก็ยังมี ที่กล่าวมาแล้วล้วนมีแต่เสียกับเสีย ไม่เกิดผลดีอะไรยังผิดศิลธรรมอีกด้วย ในพระคัมภีร์ซึ่งเป็นพระวจนะของพระเจ้าสอนในเรื่องนี้ว่า “เพราะความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้าย่อมนำไปถึงความรอดและไม่เป็นที่น่าเสียใจอีก แต่ความเสียใจอย่างคนที่ขาดความยั้งคิดนั้นย่อมนำไปถึงความตาย” อาจจะมีบางคนถามว่า “เสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้านั้นเป็นอย่างไร” ความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้านั้นไม่มีการทำลายแอบแฝงอยู่ แต่กลับนำเอาความเสียใจนั้นมาเป็นบทเรียนราคาแพง และเริ่มสำนึกในความผิดพลาด หันกลับจากทางที่เคยผิดพลาด ขวนขวายที่จะแก้ตัวใหม่ เราอาจสูญเสีย เสียใจ เราจะไม่ยอมสูญเสียอีกต่อไป แต่เราจะรีบฉวยโอกาส ฉวยสิ่งที่ดีมาทดแทนความสูญเสียนั้น และเราจะไม่ประชดชีวิต เราจะไม่ทำลายชีวิตอีกต่อไป นี่แหละคือความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า และจะนำเราไปสู่ความมีชัยรอดพ้นจากการตกเป็นเหยื่อของความตาย -จบ-

ตอบ“ความยำเกรงพระเจ้าเป็นการสอนให้เกิดปัญญา และความถ่อมใจเดินอยู่ข้างหน้าเกียรติ” ความถ่อมใจ เป็นรากฐานเบื้องต้นของกิจการดีทุกอย่าง ที่จะดำเนินต่อเนื่องไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งด้านจิตใจ และการดำเนินชีวิตให้ประสบความสำเร็จ การถ่อมนั้น ตามพจนานุกรมแปลว่า “ทำให้ด้อยลงหรือลดต่ำลง” คำว่าต่ำในที่นี้คือ การลดตัวลง ไม่ถือชั้นวรรณะ ยอมทำการต่ำกว่าตำแหน่งหน้าที่ยศศักดิ์ และเมื่อพลาดก็ยอมรับผิดด้วยความถ่อมใจ ในพระคำพระเจ้ากล่าวว่า ในทำนองเดียวกันท่านที่อ่อนอาวุโสก็จงเชื่อฟังคำของพวกผู้ใหญ่ อันที่จริงให้ท่านทุกคนมีความถ่อมใจในการปฏิบัติต่อกันและกัน ด้วยว่าพระเจ้าทรงเป็นปฏิปักษ์กับคนเหล่านั้น ที่ถือตัวจองหอง แต่พระองค์ทรงสำแดงพระคุณแก่คนที่ใจอ่อนน้อมถ่อมตน” -จบ-

ตอบรักความรักทำให้คนตาบอด มีคำว่าไว้แต่ก็มีเพลงที่บอกว่า “เธอเป็นแสงสว่างกลางใจฉัน” You light up my life ความรักหนุ่มสาวเป็นดาบสองคมนั่นแหละ ด้านดีก็ดีเหลือหลาย ด้านร้ายก็ร้ายสุดพรรณนา จะรักทั้งทีต้องรักให้เป็น ไม่หลง เป็นการยากที่จะบอกถึงลักษณะที่ชัดเจน แต่ก็พอจะบอกความแตกต่างได้บ้างดังนี้ ความหลงเกิดทันทีแต่ความรักค่อย ๆ งอกงาม ความหลงเกิดได้ง่ายเพียงแค่ได้เจอคนที่รูปร่างหน้าตาถูกใจ หรืออยู่ในบรรยากาศที่โรแมนติก แต่ความรักแท้ต้องใช้เวลาพัฒนาขึ้นทั้งสองฝ่ายได้เรียนรู้จักกันมากขึ้น รู้ว่าต่างฝ่ายต่างชอบอะไรไม่ชอบอะไร รู้จักอุปนิสัยใจคอของกันและกัน ความหลงมองเห็นแต่ด้านดีแต่ความรักเห็นภาพจริง ความหลงจะทำให้เราเห็นเขาดีหมด ถูกหมดทุกอย่าง แต่ในความรักแท้เราจะยังเห็นภาพจริงของเขาอย่างไม่บิดเบือน เขามีส่วนไม่ดียังบ้างเราก็รู้ แต่เมื่อชั่งดูก็เห็นว่ายังรับได้ ความหลงเกิดได้กับหลายคน แต่ความรักเกิดได้กับคนเดียว ในความหลง คน ๆ หนึ่งอาจจะหลงรักหลาย ๆ คนในเวลาเดียวกันได้ แต่ความรักแท้เป็นความรักที่มั่นคงและซื่อสัตย์ต่อคน ที่เรารักเพียงคนเดียวเท่านั้น ความหลงทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ความรักยังบังคับตัวเองได้ ความหลงทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง ขาดสติสัมปชัญญะ ความหลงมักส่งผลให้เราทำผิดในเรื่องเพศ แต่ความรักรู้จักการรอคอย

ตอบรักความรักทำให้คนตาบอด มีคำว่าไว้แต่ก็มีเพลงที่บอกว่า “เธอเป็นแสงสว่างกลางใจฉัน” You light up my life ความรักหนุ่มสาวเป็นดาบสองคมนั่นแหละ ด้านดีก็ดีเหลือหลาย ด้านร้ายก็ร้ายสุดพรรณนา จะรักทั้งทีต้องรักให้เป็น ไม่หลง เป็นการยากที่จะบอกถึงลักษณะที่ชัดเจน แต่ก็พอจะบอกความแตกต่างได้บ้างดังนี้ ความหลงเกิดทันทีแต่ความรักค่อย ๆ งอกงาม ความหลงเกิดได้ง่ายเพียงแค่ได้เจอคนที่รูปร่างหน้าตาถูกใจ หรืออยู่ในบรรยากาศที่โรแมนติก แต่ความรักแท้ต้องใช้เวลาพัฒนาขึ้นทั้งสองฝ่ายได้เรียนรู้จักกันมากขึ้น รู้ว่าต่างฝ่ายต่างชอบอะไรไม่ชอบอะไร รู้จักอุปนิสัยใจคอของกันและกัน ความหลงมองเห็นแต่ด้านดีแต่ความรักเห็นภาพจริง ความหลงจะทำให้เราเห็นเขาดีหมด ถูกหมดทุกอย่าง แต่ในความรักแท้เราจะยังเห็นภาพจริงของเขาอย่างไม่บิดเบือน เขามีส่วนไม่ดียังบ้างเราก็รู้ แต่เมื่อชั่งดูก็เห็นว่ายังรับได้ ความหลงเกิดได้กับหลายคน แต่ความรักเกิดได้กับคนเดียว ในความหลง คน ๆ หนึ่งอาจจะหลงรักหลาย ๆ คนในเวลาเดียวกันได้ แต่ความรักแท้เป็นความรักที่มั่นคงและซื่อสัตย์ต่อคน ที่เรารักเพียงคนเดียวเท่านั้น ความหลงทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ความรักยังบังคับตัวเองได้ ความหลงทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง ขาดสติสัมปชัญญะ ความหลงมักส่งผลให้เราทำผิดในเรื่องเพศ แต่ความรักรู้จักการรอคอย